“การแก้ปัญหาความแตกแยกร้าวลึกในสังคมด้วยการสร้างพื้น ที่ปลอดภัย สร้างความไว้วางใจชําระสิ่งค้างคาใจ และสร้าง ข้อตกลงใหม่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล”
“การแก้ปัญหาความแตกแยกร้าวลึกในสังคมด้วยการสร้างพื้น ที่ปลอดภัย สร้างความไว้วางใจชําระสิ่งค้างคาใจ และสร้าง ข้อตกลงใหม่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล”
โครงการเพื่อนรักต่างศาสนา: ผู้นำกับการถักทอสันติภาพและความปรองดองในสังคมไทย ได้ใช้การสานเสวนาเรื่องสุขภาพเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การสร้างความไว้วางใจและปรองดอง เพื่อนำมาสู่สันติภาพในสังคมที่มีความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความแตกแยกร้าวลึกในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ และวิถีวัฒนธรรม โดยโครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับทุนขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคมของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อผลักดันให้เกิดการนำงานวิจัยและวิชาการไปสู่การชี้นำสังคม โดยใช้กลวิธีการสร้างความไว้วางใจโดยใช้ “การแลสุขภาพ” เป็นตัวนำสู่การขับเคลื่อนถักทอความสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรม นำมาสู่การถอดบทเรียนเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสันติภาพและความปรองดองในสังคมไทย โดยใช้เครื่องมือเสวนาย่อยภาคสนาม 40 แห่งใน 6 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้เข้าร่วมการเสวนากว่า 170 คน
ผู้วิจัยใช้เทคนิคการสัมภาษณ์ สานเสวนาย่อยในพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจ ถักทอความสัมพันธ์และความไว้ใจ ใช้การสานเสวนาเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นไว้วางใจ ริเริ่มการทำกิจกรรมข้ามศาสนา และใช้เวทีสาธารณะเพื่อความเห็นใจเข้าใจและผูกพันกันมากขึ้น ข้ามชุมชนขยายเครือข่ายไปดูแลซึ่งกันและกัน และออกแบบชุมชน เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านความทุกข์ ความสูญเสีย สู่ความเป็นเพื่อนร่วมเกื้อกูลความกรุณาและร่วมกันดูแลสุขภาพ ยิ่งเมื่อมีวิกฤติโควิด-19 นำมาสู่โอกาสในการระดมความร่วมมือของเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อรับมือโรคระบาดโควิด-19
โดยโครงการได้ข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ การเอื้ออํานวยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมและปลดเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในแนวระนาบ เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกและระหว่างสมาชิกในสังคม ให้เสรีภาพและหลักประกันในเรื่องความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนถกเถียงเพื่อค้นหาความจริงอันจะนําไปสู่ทางออกจากปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนด้วยการแก้ไขที่รากเหง้า เอื้ออํานวยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมและปลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นําแบบจัดกระบวนการ (Facilitative Leadership) ในสังคม ให้เวลากับกระบวนการสร้างความไว้วางใจ การชําระ สิ่งที่ค้างคาใจ การสร้างข้อตกลงร่วมกันใหม่เพื่อการกําหนดอนาคตที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลปรองดองและป้องกันความขัดแย้งรุนแรงมิให้หมุนวนกลับมาบ่อนทําลายมิตรภาพในอนาคต
สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสันติภาพและมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ควรจัดการศึกษาและการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจของสังคมไทยต่อกระบวนการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และควรนําชุดความรู้และทักษะการแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งด้วยสันติวิธีไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะกระบวนการการจัดการความจริงร่วมและฟื้นฟูเยียวยาความสัมพันธ์
สถาบันสื่อ ควรสร้างเนื้อหาและใช้หลักการ การสื่อสารเพื่อสันติภาพ (Peace Journalism) และ Conflict Transformation หนุนเสริมชุดความรู้และกระบวนการ และตัวอย่างปฏิบัติการในชุมชนต้นแบบสร้างสันติภาพและความปรองดอง
สถาบันทางสังคมอื่น ๆ ควรเรียนรู้และทําความเข้าใจวิธีการและปรับเปลี่ยนมโนทัศน์เกี่ยวกับกระบวนการปรองดองอย่างเป็นระบบที่ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การค้นหาความจริง ความพร้อมยอมรับผิด การนําคนผิดมาลงโทษ การให้อภัย การฟื้นฟูเยียวยาความสัมพันธ์เพื่อนํามาสู่การคืนดี (Restorative Process) ทั้งจําเป็นต้องมีการขับเคลื่อนสร้างวัฒนธรรมป้องกันความขัดแย้งรุนแรงร้าวลึกในอนาคตเพื่อมิให้ความเจ็บปวดในลักษณะเดิมเกิดขึ้นอีก
สําหรับชุมชนปัญญาปฏิบัตินําร่อง ต้องใช้หลักการและแนวทางประชาธิปไตยเชิงลึกในการร่วมค้นหาความจริงด้วยความเมตตา และเข้าอกเข้าใจอีกฝ่ายได้แม้จะไม่เห็นด้วยกับเขา (Empathy process) อย่างยุติธรรม/เป็นธรรม สร้างบรรยากาศที่จะเอื้อให้เกิดการปรองดองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีหลักประกันสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค เพื่อส่งเสริมให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านมีความเป็นไปได้มากกว่าระบอบอื่น ๆ เพราะเปิดช่องให้เกิดการตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส กระบวนการและวิธีการต้องชอบธรรมและมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ และมีการบันทึก ถอดบทเรียน และสื่อสารสังคมเพื่อขยายเครือข่ายสร้างการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน การหนุนเสริมด้วยงบประมาณ สิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เหมาะสมและจําเป็น เพื่อความปรองดองสมานฉันท์
ในปี 2566 โครงการเพื่อนรักต่างศาสนา ได้พัฒนาความสำเร็จมาเป็นโครงการเพื่อนรักต่างศษสนา รุ่ยนใหญ่ รุ่นใหม่ หัวใจเดียวกัน โดยมีวัตถุประสงค์
1) เพื่อทดลองโมเดลเพื่อนรักต่างศาสนาในการปิดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างคนรุ่นใหญ่กับคนรุ่นใหม่ในชุมชนพหุลักษณ์ชายแดนใต้
2) เพื่อทราบข้อจำกัดและความท้าทายของการประยุกต์ใช้โมเดลเพื่อนรักต่างศาสนาในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นวัยในชุมชนพหุลักษณ์ชายแดนใต้
โดย
ในปี 2566 โครงการเพื่อนรักต่างศาสนา ได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่กำลังกลายเป็นประเด็นความท้าทายของสังคมร่วมสมัย นั่นคือ ปัญหาช่องว่างระหว่างรุ่นวัยอันเนื่องมาจากการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะในยุคดิจิทัล (Digital) และส่งผลให้คนรุ่นใหม่มีวิถีชีวิตและความคิดอ่านแตกต่างไปจากคนรุ่นใหญ่ที่เกิดและใช้ชีวิตภายใต้เทคโนโลยีอนาล็อก (Analogue) ดังที่มักจะได้ยินคำบอกเล่าในทำนอง “เด็กเดี๋ยวนี้เลี้ยงยาก พูดยาก พูดอะไรมากก็ไม่ได้ ไม่ฟัง ดีไม่ดีเขาก็จะย้อนกลับมาอีก” ข้อความข้างต้นเป็นคำกล่าวของผู้อาวุโสที่ได้ยินบ่อยครั้งจากการทำงานในชุมชนหลายแห่งไม่เฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้เท่านั้น หากแต่ผู้วิจัยได้ยินในแทบจะทุกพื้นที่ที่ไปทำงาน ในขณะที่อีกฟากหนึ่งก็เป็นเสียงสะท้อนในเชิงโต้กลับที่หลายคนคงเคยได้ยิน “มนุษย์ป้า บ่นอยู่ได้ พ่อแม่หัวโบราณไม่เข้าใจหนู ไม่รู้หรือไงว่าลูกก็มีสิทธิคิดเองได้”
ในสังคมพหุลักษณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ ช่องว่างความแตกต่างดังกล่าวยังถูกซ้ำเติมด้วยอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นที่มีความสลับซับซ้อนทั้งที่มาบรรจบและตัดข้ามกันหลายชั้น (Intersectionality) ทั้งในเรื่องความแตกต่างระหว่างรุ่นวัยภายในชุมชนทางศาสนา ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมของตนเอง และความแตกต่างระหว่างรุ่นวัยข้ามชุมชนทางศาสนาชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในสังคมชายแดนใต้ที่อัตลักษณ์ทางศาสนามีความละเอียดอ่อนไหวและเข้มข้นมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย และเมื่อสถานการณ์ความรุนแรงได้ถาโถมเข้าใส่ผู้นำทางศาสนาในรอบหลายปีที่ผ่าน ความกินแหนงแคลงใจก็มากขึ้น ความไม่ไว้วางใจก็เข้ามาแทนที่ความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน
โครงการเพื่อนรักต่างศาสนา รุ่นใหญ่ รุ่นใหม่ หัวใจเดียวกัน ได้นำโมเดลการสร้างเพื่อนรักต่างศาสนา มาเป็นเครื่องมือในการสร้างเพื่อนรักข้ามรุ่นวัย ศาสนา ชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและความแตกต่างหลากหลายในมิติอื่น ๆ ขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อสร้างชุมชนตัวอย่างที่โอบรับความแตกต่างหลากหลายให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติบนฐานข้อบ่งชี้เรื่องสุขภาวะองค์รวมที่ดี (Wellbeing) ต่อไป ซึงพบว่าปฏิสัมพันธ์ข้ามศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างเด็กและเยาวชนเป็นกลไกและเครื่องมือในการสร้างสันติภาพและความปรองดองที่ยั่งยืนในสังคมชายแดนใต้ และเป็นการหนุนเสริมการสืบสานต่อยอดมรดกภุูมิปัญญาของบรรพชนที่เคยใช้ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในอดีตให้คงอยู่ต่อไปอย่างมีคุณค่า ซึ่งสามารถพัฒนามูลค่าเพิ่มหนุนเสริมกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของเยาวชนได้ในอนาคต และโครงการฯ สามารถจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยมีเรื่องสำคัญ ดังนี้
ข้อเสนอ 1 เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และลงมือสร้างปฏิสัมพันธ์ข้่ามรุ่นวัย ข้ามพื้นที่ ข้ามวัฒนธรรม ในแบบเพื่อนรักต่างศาสนาเพื่อเป็นกลไกในการถักทอความสัมพันธ์ป้องกันการเข้าใจผิด และมีส่วนช่วยลดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มได้
ข้อเสนอ 2 สร้างกลไกหนุนเสริมการทำงานแบบเพื่อนรักต่างศาสนาข้ามรุ่นวัยผ่านกลไกการทำงานของสภาเยาวชนระดับตำบลอย่างเป็นรูปธรรมโดยบรรจุไว้ในแผนงานของสภาตำบลและหรือหน่วยงานปกครองท้องถิ่นอื่น ๆ ทุกระดับ
นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2566 โครงการเพื่อนรักต่างศาสนา ยังพัฒนาโครงการในชื่อ เพื่อนรักต่างศาสนากับการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนจากชุมชนฐานราก และได้รับการสนับสนุนทุนดำเนินงานจากมหาวิทยลาลัย จำนวน 1,000,000 บาท ผ่านทางโครงการขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคม โดยมีวัตถุประสงค์
1)เพื่อขยายผลการขับเคลื่อนชี้นานโยบายการสร้างสันติภาพและความปรองดองอย่างยั่งยืนบนฐานมิตรภาพและสุขภาวะอย่างเป็นรูปธรรม
2)เพื่อจัดทาฐานข้อมูลโครงการนาเสนอข่าวสารที่หนุนเสริมการสร้างสันติภาพและความปรองดองอย่างยั่งยืนบนฐานมิตรภาพและสุขภาพจากชุมชนฐานรากชายแดนใต้
ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 4 10 และ 16
การดำเนินงานของโครงการนั้น ดำเนินงานต่อเนื่องจากปี 2566 มาจนถึง 2567 โดยยึดหลักกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัว และวางกรอบในการทำงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในชุมชนโดยกาหนดกรอบการทำงานเชิงความรู้ในเรื่องการสร้างสันติภาพและความปรองดอง โดยมุ่งติดตั้งทักษะเครื่องมือในการแปลงเปลี่ยนก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยสันติวิธี และส่งเสริมการนำความรู้ไปออกแบบปฏิบัติการในชุมชนเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ซึ่งในระยะเวลา 6 เดือนแรกนั้น มีการดำเนินงาน ดังนี้
1. จัดประชุมคณะทางานเพื่อร่วมกาหนดกรอบแนวทางในการทางานร่วมกับชุมชน
2. จัดประชุมแยกแต่ละชุมชนนาร่องเพื่อวางแผนงานตามความต้องการแก้ปัญหาเฉพาะของชุมชนโดยใช้โมเดลเพื่อนรักต่างศาสนาเป็นหลัก และใช้กรอบแนวทางการสร้างสันติภาพและความปรองดองที่ยั่งยืนจากชุมชนฐานราก
3. จัดการอบรมเสริมศักยภาพและความรู้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการทางานแบบเพื่อนรักนักถักทอสันติภาพและความปรองดอง
4. ร่วมกันจัดการฐานข้อมูล ชุดความรู้และบทเรียนจากการทางานที่ผ่านมาเพื่อสื่อสารกับสังคมเป็นการเพิ่มพื้นที่สื่อดี ลดพื้นที่สื่อสารสร้างความเกลียดชังและหวาดกลัวผู้คนและพื้นที่ชายแดนใต้
5. ช่วยกันตรวจสอบข้อมูล และเยี่ยมเยียนเครือข่ายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมการทางานข้ามรุ่นวัยและชุมชนผ่านเทศกาลหรือกิจกรรมที่สามารถร่วมกันทาได้ในพื้นที่