มหาวิทยาลัยมหิดลตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) และได้กำหนดเป้าหมายสู่ Net Zero Emission ภายในปี 2030 การบรรลุเป้าหมายนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการปรับปรุงภายในเท่านั้น แต่ต้องอาศัยพลังของ นวัตกรรมและผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) เป็นกลไกสำคัญในการสร้าง เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy)
มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาที่มุ่งมั่นด้านความยั่งยืน จึงได้วางรากฐานเพื่อสนับสนุนและบ่มเพาะ Green Tech Start-ups อย่างเป็นระบบ เพื่อแปลงผลงานวิจัยให้กลายเป็นธุรกิจที่สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม
🌱 Green Tech Start-ups: กลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน
Green Tech (เทคโนโลยีสีเขียว) หรือ Climate Tech คือกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีวัตถุประสงค์หลักในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดลให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะสตาร์ทอัพในกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น:
- การจัดการคาร์บอน: นวัตกรรมในการดักจับและเปลี่ยนคาร์บอนให้เป็นวัสดุที่มีมูลค่า
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy): การจัดการของเสียและการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
- ประสิทธิภาพพลังงาน: เทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับการลดการใช้พลังงานในระบบต่าง ๆ
🚀 กลไกสนับสนุน Green Tech Start-ups จากมหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยได้บูรณาการหน่วยงานและทรัพยากรหลักเพื่อเป็นฐานในการเปลี่ยนนักวิจัย/นักศึกษาให้เป็นผู้ประกอบการ Green Tech:
- สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT): เป็นศูนย์กลางในการบ่มเพาะผ่านโครงการ Mahidol Startup Incubator และสนับสนุนด้าน การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา และ การระดมทุน
- โครงการและเวทีบ่มเพาะผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Ecosystem)
|
โครงการหลัก
|
บทบาทต่อ Start-ups
|
|
Mahidol Startup Thailand League
|
ประตูสู่การเริ่มต้น: เป็นโครงการหลักที่ให้ทุนตั้งต้น (Seed Funding) และการให้คำปรึกษาแก่ไอเดียที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาไปสู่การสร้างต้นแบบธุรกิจ
|
|
Mahidol TED Youth Startup 2025
|
เวทีฝึกฝนการนำเสนอ: ส่งเสริมให้นักศึกษานำเสนอแนวคิดนวัตกรรมด้านความยั่งยืน เพื่อฝึกทักษะการ Pitching และสร้างความตระหนักในวงกว้าง
|
|
Mahidol Startup Incubator
|
โปรแกรมเร่งการเติบโต: ให้การสนับสนุนเชิงลึกด้านการสร้างแบบจำลองธุรกิจ, กฎหมาย, การตลาด, และการเชื่อมโยงกับนักลงทุน (Venture Capital) เพื่อให้ธุรกิจพร้อมเข้าสู่ตลาด
|
- ทรัพยากรทางวิชาการและงานวิจัยเฉพาะทาง: สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง และทำงานร่วมกับคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจาก คณะวิทยาศาสตร์ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเทคโนโลยี (Technology Validation)
- ผู้เชี่ยวชาญและห้องปฏิบัติการ: ทำงานร่วมกับคณาจารย์จาก คณะวิทยาศาสตร์, คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์, และคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อ ตรวจสอบความถูกต้องของเทคโนโลยี (Technology Validation) เช่น การวัดประสิทธิภาพการลดคาร์บอน, การวิเคราะห์ความบริสุทธิ์ของวัสดุ, และการออกแบบระบบการผลิตอัตโนมัติ
- การคุ้มครอง IP: งานถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ ให้ความช่วยเหลือในการจดแจ้ง ทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของนวัตกรรมเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
- การเชื่อมโยงกับพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์: การสร้างความร่วมมือ เช่น โครงการ “Zero Carbon & Beyond” เพื่อนำเทคโนโลยีไปทดลองใช้และสร้างเครือข่ายธุรกิจ
ตัวอย่างความสำเร็จ: นวัตกรรมคาร์บอนต่ำระดับโลก
สตาร์ทอัพและผลงานนวัตกรรมที่ได้รับการบ่มเพาะและสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง:
Carbon Polymerizing System: ระบบเปลี่ยนคาร์บอนเป็นพลาสติกชีวภาพ
เทคโนโลยี: ใช้แบคทีเรียเปลี่ยนคาร์บอนให้เป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
ผู้พัฒนา: ทีม BrainTeazer สุเมธ กล่อมจิตเจริญ, สหรัถ ชวฤาชัย และกัลยพัชร์ พลอยประดิษฐ์ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
รางวัล:
- National Winner James Dyson Award 2024
- Grand Prize Award of the 8th Delta International Smart & Green Manufacturing Contest among 328 universities around the world (Delta World Cup 2022)
- 2nd Runner Up at DELTA x DIPROM Angel Fund 2023
- First-Prize Winner at Innovation for Campus Sustainability 2024
- First-Runner Up at 3rd PIM International Hackathon
การกำจัดคาร์บอน (Carbon Removal): ดักจับโมเลกุลคาร์บอนจากแหล่งต่าง ๆ (เช่น น้ำเสียจากขยะอาหาร) และเปลี่ยนเป็นพลาสติกชีวภาพ PHB ซึ่งเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิด
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy): วัสดุ PHB ย่อยสลายในดินได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งช่วยแก้ปัญหามลพิษพลาสติกที่ใช้เวลาย่อยสลายนาน
ผลงานนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า การสนับสนุนด้านนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดลสามารถสร้าง Green Tech Start-up ที่พร้อมเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันระดับนานาชาติได้



Carbon Polymerizing System เป็นผลงานจากทีมนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลคว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศของการแข่งขัน James Dyson Award 2024
โดยผลงานนี้คือระบบการผลิตพลาสติกชีวภาพจากคาร์บอนแบบอัตโนมัติที่มุ่งแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอันเกิดจากก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากขยะอาหาร โดยทีมผู้คิดค้น Carbon Polymerizing System จะเป็นตัวแทนประแทนไทยพร้อมทีมรองชนะเลิศอีก 2 ทีมในการแข่งขันระดับนานาชาติ
Carbon Polymerizing System หรือ ระบบการผลิตพลาสติกชีวภาพจากคาร์บอนแบบอัตโนมัติ จะดักจับโมเลกุลคาร์บอนเพื่อนำมาผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เรียกว่า PHB ซึ่งเหมาะสำหรับการผลิตบรรจุภัณฑ์ทั่วไปจนถึงวัสดุทางการแพทย์ ระบบจะใช้แบคทีเรียเปลี่ยนคาร์บอนที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น น้ำเสียจากน้ำผลไม้ ชีวมวลผักและผลไม้ หรือแม้แต่ก๊าซเรือนกระจก ให้กลายเป็นพลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและปลอดภัยโดยใช้ระยะเวลาย่อยสลายในดินประมาณ 2 สัปดาห์ ต่างกับพลาสติกชนิดอื่นที่อาจใช้เวลาย่อยสลายในป่านานถึง 80 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดคาร์บอนที่เป็นอันตรายในอากาศ แต่ยังส่งผลให้วัสดุไม่ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เป็นนวัตกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสังคม
จากก๊าซคาร์บอน กลายเป็นพลาสติกชีวภาพ
ระบบจะทำงานอัตโนมัติโดยใช้ระบบควบคุมแบบเรียลไทม์ หรือ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) เพื่อให้มั่นใจว่าการผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสะอาด ด้วยการจัดการกระบวนการทั้งหมดด้วยการติดตามผลแบบเรียลไทม์ จะช่วยลดของเสียและมลพิษให้เหลือน้อยที่สุด ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการผลิตที่ยั่งยืน แนวทางนี้ไม่เพียงแค่ลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังกำจัดคาร์บอนจากบรรยากาศมากกว่าที่ปล่อยออกมาอีกด้วย
นักประดิษฐ์ทีมผู้ออกแบบ Carbon Polymerizing System ประกอบด้วยสุเมธ กล่อมจิตเจริญ , สหรัถ ชวฤาชัย และกัลยพัชร์ พลอยประดิษฐ์ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากมองเห็นถึงปริมาณคาร์บอนจำนวนมากที่ถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศผ่านกิจกรรมของมนุษย์ เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ทีมผู้ออกแบบจึงสร้างนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนขยะอาหารหรือแหล่งคาร์บอนอื่น ๆ ให้เป็นพลาสติกชีวภาพ
ทีมผู้ออกแบบCarbon Polymerizing System
ทีมผู้ออกแบบ Carbon Polymerizing System ซึ่งเป็นทีมผู้ชนะระดับประเทศในปีนี้ จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 224,000 บาท จาก James Dyson Award เพื่อเป็นทุนในการพัฒนานวัตกรรมและต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยในอนาคตมีแผนพัฒนาระบบติดตามการปล่อยคาร์บอน เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณก๊าซที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการผลิต
สหรัถ ชวฤาชัย หนึ่งในสมาชิกทีมผู้ออกแบบ Carbon Polymerizing System กล่าวว่า การแข่งขัน James Dyson Award มอบโอกาสให้พวกเราได้นำเสนอนวัตกรรม ซึ่งพวกเราเชื่อว่ารางวัลนี้จะช่วยให้นวัตกรรม Carbon Polymerizing System เป็นที่รู้จักในตลาดและสร้างประโยชน์ให้กับโลกมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้พวกเรายังอยากให้นวัตกรรมนี้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ หันมาสนใจใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในโลกของเราต่อไป
🍍 PiLeatha: หนังเทียมจากเส้นใยใบสับปะรดและยางธรรมชาติ
PiLeatha เป็นตัวอย่างความสำเร็จของนวัตกรรมคาร์บอนต่ำที่ใช้ทรัพยากรเกษตรในประเทศเพื่อสร้างวัสดุทดแทนที่ยั่งยืน โดยเป็นผลงานการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ ภายใต้ชื่อการค้า PiLeatha โดยบริษัท เอเวอร์เจน เทคโนโลยี จำกัด
เทคโนโลยี การแปรรูปเส้นใยจากใบสับปะรด (ของเหลือทางการเกษตร) ผสมกับยางพาราธรรมชาติของไทย ผ่านกระบวนการสกัดเส้นใยและขึ้นรูปแผ่นหนัง โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยลดรอยเท้าคาร์บอน (ไม่พึ่งพาการปั่นด้ายหรือทอผ้า) วัสดุมีส่วนประกอบจากธรรมชาติมากกว่า 90%
ผู้พัฒนารศ.ดร.ทวีชัย อมรศักดิ์ชัย (CTO - มหาวิทยาลัยมหิดล) และ คุณสรณ์ ดวงสุวรรณ (CEO) ภายใต้บริษัทสตาร์ทอัพ เอเวอร์เจน เทคโนโลยี จำกัด
รางวัลและมาตรฐาน:
- ได้รับเลือกให้เข้าร่วมโครงการ Ideation Incentive Program และได้รับโอกาสเข้าร่วมจัดแสดงผลงานในงาน TED FUND GRANT DAY 2024
-
ผ่านมาตรฐาน ISO 3376: ทดสอบ ความต้านทานแรงดึงและการยืดตัว (Tensile Strength and Elongation) ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของวัสดุเครื่องหนัง
-
ผ่านมาตรฐาน ASTM D624: ทดสอบ ความทนต่อการฉีกขาด (Tear Strength) ของวัสดุที่มียางเป็นส่วนประกอบหลัก
การกำจัดคาร์บอน (Carbon Removal)
ทางอ้อม: ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการเผาทำลายใบสับปะรดในไร่เกษตร ซึ่งเป็นวิธีกำจัดของเหลือที่ก่อมลพิษแบบเดิม
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
การหมุนเวียนทรัพยากร: เปลี่ยน "ของเหลือทิ้ง" จากภาคเกษตร (ใบสับปะรด) ให้กลายเป็น "วัสดุมูลค่าสูง" และใช้ ยางพารา แทนพลาสติก/เรซินสังเคราะห์ในการผลิตหนังเทียม
การต่อยอดจัดตั้งเป็นแบรนด์ PiLeatha จำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยนำไปผลิตสินค้าแฟชั่น (กระเป๋า, ปกพาสปอร์ต) และสินค้าพรีเมี่ยมสำหรับองค์กร (ร่วมกับแบรนด์ HILMYNA) พร้อมขยายตลาดสู่ต่างประเทศ เช่น อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และออสเตรเลีย
หากสนใจติดต่อได้ที่
Facebook: PiLeatha




สำรวจ Mahidol Startup Portfolio
หากท่านสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Green Tech ที่พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลง ท่านสามารถเยี่ยมชมพอร์ตโฟลิโออย่างเป็นทางการของ iNT ได้ที่:
เยี่ยมชม Mahidol Startup Portfolio
