จากวัสดุธรรมชาติสู่ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน: การพัฒนาหนังทางเลือกจากยางพาราและเส้นใยใบสับปะรด
ในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมหลายๆ ด้าน การใช้วัสดุธรรมชาติและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่นักวิจัยและนักออกแบบทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คือการพัฒนาหนังทางเลือกจากวัสดุธรรมชาติ โดยเฉพาะยางพาราและเส้นใยจากใบสับปะรด ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และช่วยสนับสนุนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมแฟชั่นและวัสดุทดแทน
แรงบันดาลใจจากทรัพยากรในประเทศ
การพัฒนาหนังทางเลือก (ปัจจุบันมีจำหน่ายแล้ว ภายใต้ชื่อการค้า PiLeatha) มีจุดเริ่มต้นจากสองปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรในประเทศไทย คือ ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพาราอันดับหนึ่งของโลก และเป็นผู้ผลิตสับปะรดอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้มีทรัพยากรเหล่านี้อยู่ในปริมาณมากตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ใบสับปะรดในประเทศไทยยังไม่ได้รับการนำไปใช้งานอย่างจริงจัง ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถแยกเส้นใยใบสับปะรดออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
ในขณะเดียวกัน การผลิตหนังเทียมทั่วไปมักจะใช้พลาสติกจากน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้ยางพาราแทนพลาสติกไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่ยั่งยืน ยังช่วยเพิ่มมูลค่าของยางพาราและเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการเกษตรในประเทศไทยอีกด้วย
นวัตกรรมในกระบวนการผลิต
กระบวนการผลิตหนังทดแทนจากยางพาราและเส้นใยใบสับปะรดเป็นจุดเด่นที่สำคัญในนวัตกรรมนี้ การแยกเส้นใยจากใบสับปะรดโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้เครื่องจักรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ทำให้สามารถขยายกำลังการผลิตได้ในระดับอุตสาหกรรม โดยเส้นใยที่ได้มีความละเอียดสูงและมีคุณสมบัติที่ดี กระบวนการผลิตนี้ยังไม่ต้องพึ่งพาการปั่นด้าย และการทอเป็นผืนผ้า แบบที่ใช้ในการผลิตหนังเทียมโดยทั่วไป ทำให้ลดรอยเท้าคาร์บอนในการผลิตได้อย่างมาก หนังทางเลือกที่ได้นี้ ได้ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเป๋าถือ ซองใส่นามบัตร ซองใส่บัตรแสดงตน ซองใส่พาสปอร์ต หุ้มเฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ ได้ในลักษณะเดียวกันกับหนังเทียมโดยทั่วไป

หนังรีไซเคิลจากสับปะรดคืออะไร?
หนังรีไซเคิลจากสับปะรด หรือที่เรียกว่า Pineapple Leaf Leather คือวัสดุทางเลือกใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนการใช้หนังแท้ ที่ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม วัสดุชนิดนี้ผลิตจาก เส้นใยธรรมชาติในใบสับปะรด ที่เดิมทีถือเป็น “ของเหลือ” จากภาคเกษตรกรรม เมื่อถูกทิ้ง หรือเผาทำลายก็จะกลายเป็นขยะ และสร้างมลพิษ แต่ด้วยนวัตกรรมการแปรรูปที่ผสมผสาน วิทยาศาสตร์ + งานออกแบบ + แนวคิดความยั่งยืน ผ่านกระบวนการขูดเส้นใบ อบแผ่น และเคลือบผิวอัดลายด้วยเทคโนโลยีทันสมัย จึงสามารถเปลี่ยนเศษใบสับปะรดธรรมดาให้กลายเป็นวัสดุใหม่ที่มีคุณภาพคล้ายหนังแท้ ให้ความรู้สึกหรูหรา แต่ปราศจากการใช้หนังสัตว์ และไม่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อม
สิ่งที่ทำให้ หนังรีไซเคิลจากสับปะรด พิเศษคือ
• ยั่งยืนโดยธรรมชาติ
ผลิตจากเศษเหลือเกษตร ไม่ต้องใช้สัตว์ และช่วยลดการเผาทำลายที่ก่อมลพิษ
• พื้นผิวคล้ายหนังแท้
มีความยืดหยุ่น สวยงาม และหรูหรา สามารถยกระดับงานดีไซน์ให้ดูพรีเมียม
• น้ำหนักเบาและทนทานและกันน้ำ
เบากว่าหนังสัตว์ แต่ยังคงความแข็งแรงสำหรับการใช้งานจริง
• รองรับการออกแบบที่หลากหลาย
ปรับแต่งได้ทั้งสี พื้นผิว และการเคลือบ เหมาะกับทั้งสินค้าแฟชั่น และของขวัญองค์กรชนิดต่างๆ
• สร้างคุณค่าใหม่ให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น
เพิ่มมูลค่าให้กับการปลูกสับปะรด สนับสนุนเกษตรกร และสอดคล้องกับ Circular Economy
• ที่สำคัญคือเป็นวัสดุที่ สะท้อนคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม ทุกครั้งที่ถูกนำมาใช้งาน
นี่ไม่ใช่เพียงวัสดุชนิดใหม่ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นนวัตกรรมรักษ์โลก
ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและการตลาดที่ก้าวหน้า
หนังทางเลือกจากเส้นใยใบสับปะรดและยางพารานี้ สามารถผลิตเป็นแบบธรรมชาติที่ไม่มีการปรับแต่งหรือเคลือบสี ซึ่งยังคงมีลักษณะของเส้นใยและโทนสี earth tone ที่เป็นธรรมชาติ หรือจะสามารถเคลือบสีและปั๊มลายให้มีลักษณะเหมือนหนังแท้ได้ตามความต้องการ การมีทางเลือกหลากหลายนี้ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างหลากหลายและครบครัน โดยทีมวิจัยได้จัดตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ เอเวอร์เจน เทคโนโลยี จำกัด และได้ขออนุญาตใช้สิทธิ์ในการผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ภายใต้ชื่อการค้า PiLeatha
ปัจจุบัน PiLeatha ได้รับการนำไปใช้โดยนักออกแบบหลายคนและมีการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเป๋าถือ ซองใส่นามบัตร ซองใส่บัตรแสดงตน และซองใส่พาสปอร์ต ซึ่งแผ่นหนังทางเลือกนี้ ผู้สนใจสามารถหาซื้อได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Etsy และ eBay ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงตลาดทั่วโลก ในปัจจุบัน บริษัทได้ส่งมอบหนังทางเลือก PiLeatha ไปยังลูกค้าในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย
การก้าวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
การผลิตหนังจากยางพาราและเส้นใยใบสับปะรดไม่เพียงแต่ตอบโจทย์การใช้วัสดุธรรมชาติในการผลิตเท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) โดยตรง ซึ่งมีผลกระทบต่อการลดการใช้พลาสติกจากน้ำมันปิโตรเลียม การสนับสนุนการเกษตรยั่งยืน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุเหล่านี้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของทรัพยากรและลดขยะพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การขยายการผลิตยังช่วยสร้างโอกาสในการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและมีความยั่งยืนในตลาดที่มีความต้องการสูงสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเชื่อมโยงกับแนวคิดการใช้วัสดุจากธรรมชาติในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแท้จริง
ปัจจุบันงานวิจัยได้ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มากมายร่วมกับ HILMYNA Brand
สร้างสรรค์หนังรีไซเคิลให้เกิดมูลค่าและเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด โปรเจค Pileatha X HILMYNA จึงเกิดขึ้นเป็นสินค้ารักษ์โลก ที่เริ่มต้นผลิตเป็นชุดของขวัญให้กับ สวทช. และนำมาต่อยอดออกแบบเป็นสินค้าพรีเมี่ยมรักษ์โลกสำหรับองค์กรที่ต้องการสะท้อนภาพลักษณ์ด้านการดำเนินนโยบาย ESG Policy ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และพร้อมก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน

หนังรีไซเคิลจากสับปะรดสามารถผลิตสินค้าพรีเมี่ยมอะไรได้บ้าง?
สิ่งที่ทำให้หนังรีไซเคิลจากสับปะรดน่าสนใจยิ่งขึ้นคือ ความยืดหยุ่นในการใช้งาน ที่สามารถออกแบบพื้นผิว และสีสันให้เหมาะกับสินค้าหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะสินค้าพรีเมี่ยมสำหรับองค์กร และนี่เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยที่เราสามารถผลิตได้ อาทิเช่น
1. กระเป๋าถือรักษ์โลก (Tote / Handbag) – ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ดีไซน์ทันสมัย และสื่อภาพลักษณ์องค์กรที่ทันสมัย
2. ปกพาสปอร์ต (Passport Holder) – ของขวัญที่เหมาะสำหรับพนักงานและลูกค้าธุรกิจที่เดินทางบ่อย
3. แท็กกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) – ไอเท็มเล็ก ๆ แต่เพิ่มคุณค่าและช่วยให้องค์กรจดจำได้ง่าย
4. แฟ้มเอกสาร / Notebook Cover – เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการมอบของใช้สำนักงานที่แตกต่าง และมีความยั่งยืน
5. Accessories เล็ก ๆ เช่น พวงกุญแจ หรือเคสการ์ด – ของชิ้นเล็กที่ใช้เป็นของแจกในงานอีเวนต์หรือประชุม แต่ยังคงคุณค่าความเป็น “สินค้าพรีเมี่ยมรักษ์โลก”
สินค้าทุกชิ้นไม่เพียงแต่ใช้งานได้จริง แต่ยังเป็นเครื่องมือในการ บอกเล่าเรื่องราวของความยั่งยืน ให้กับผู้รับอย่างทรงพลัง

