การปลูกพืชทนแล้งในศาลายา

detail

การเลือกปลูกพืชทนแล้งกลายเป็นวิธีสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในการจัดการภูมิทัศน์

พื้นที่สีเขียวในมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ครอบคลุมประมาณ 40% ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ท้องถิ่นและพันธุ์ไม้ทนแล้งกระจายอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย เนื่องจากดูแลรักษาง่าย ใช้น้ำน้อยในการเจริญเติบโต ซึ่งพันธุ์ไม้ทนแล้งจะมีลักษณะกายวิภาคแตกต่างออกไป เช่น กิ่งแขนงแสดงลักษณะลำต้นคล้ายใบทำหน้าที่สังเคราะห์แสง ลักษณะการเรียงตัวของปากใบ ชั้นผิวที่หนาหรือมีเซลล์ที่ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของพืช ทำให้ลดปริมาณการใช้น้ำในการดูแลรักษาต้นไม้ และมหาวิทยาลัยได้ออกแบบระบบการจัดการน้ำผิวดินซึ่งรวบรวมน้ำฝนและน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วผ่านเครือข่ายคูคลองรอบมหาวิทยาลัย เพื่อใช้ในการดูแลและบำรุงรักษาพันธุ์ไม้ในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ 

ตัวอย่างพันธุ์ไม้ที่ปลูกเพื่อส่งเสริมความสวยงามและช่วยอนุรักษ์น้ำ ได้แก่ 

  • ต้นสนประดิพัทธ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์  Casuarina junghuhniana Miq.)  
    มีลำต้นรูปกรวยตั้งตรงจึงเหมาะกับการปลูกเป็นรั้วธรรมชาติหรือแนวกันลม ซึ่งจะปลูกเป็นแนวบริเวณด้านหลังสนามฟุตบอล ริมคลองหน้าคณะเทคนิคการแพทย์ และริมคลองบริเวณอาคารเจนจานวัตกรรม สนประดิพัทธ์ สามารถปรับตัวได้ดีต่อความแห้งแล้ง สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกประเภท ลักษณะทางกายภาพช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำได้ ต้องการน้ำปานกลาง และแสงแดดจัด 

   

 

  • ต้นคูน หรือต้นราชพฤกษ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia fistula L.)  
    เป็นพรรณไม้ขนาดกลาง ออกดอกเป็นช่อสีเหลือง ซึ่งจะปลูกเป็นแนวบริเวณริมคลองตรงข้ามหอพักนักศึกษาพยาบาล รามาธิบดี  ริมถนนรอบมหาวิทยาลัย เช่น บริเวณด้านหน้าสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ถนนวิถีปัญญา ถนนเทิดจักรี ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำพอสมควรและให้ร่มเงา

 

  

 

  • แคนา (ชื่อวิทยาศาสตร์ Dolichandrone rpathacea Schum.)

ไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 10 - 20 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปไข่ ดอกสีขาว ออกเป็นช่อ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน ผลเป็นฝักแห้ง ออกเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ปลูกปะปนกับไม้ชนิดอื่น ริมถนนพูนผลประชา 

 

   


 

พืชคลุมดิน

นอกจากช่วยรักษาความชื้นและเพิ่มธาตุอาหารในดินแล้ว ยังช่วยลดอุณหภูมิและป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ลดวัชพืช และเพิ่มกิจกรรมจุลินทรีย์ในดิน เช่น

  • ต้นกระดุมทองเลื้อย (ชื่อวิทยาศาสตร์  Wedelia trilobata (L.) Hitch.)
    เป็นไม้ล้มลุกโตเร็ว ลำต้นรูปทรงกระบอก ดอกสีเหลือง ซึ่งถูกปลูกบริเวณสวน ECO Park หน้าหอสมุดและคลังความรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงแนวเนินดินริมคลองในมหาวิทยาลัย กระดุมทองเลื้อยเติบโตได้ดีในดินชื้น ชอบแสงแดด และสามารถขยายตัวได้กว้าง จึงเหมาะสมกับการคลุมหน้าดินและลดการชะล้างของหน้าดิน  

  


💧การขยายผลการปลูกพืชใช้น้ำน้อย: เปลี่ยนพื้นที่หญ้าเป็นพืชคลุมดิน

มหาวิทยาลัยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายพื้นที่ปลูกพืชใช้น้ำน้อยอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้นกระดุมทองเลื้อย ซึ่งเป็นพืชคลุมดินที่ช่วยรักษาความชื้นและลดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการพังทลายหน้าดิน การดำเนินการนี้ไม่เพียงช่วยลดการใช้น้ำ แต่ยังส่งผลดีต่อการบริหารจัดการและต้นทุนอีกด้วย ณ ปัจจุบัน มีพื้นที่สำคัญที่ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ได้แก่ พื้นที่ริมคลองบุ๋ยสระว่ายน้ำ (237 ตร.ม.) และพื้นที่รั้วเนินดินทิศตะวันตก (39,776 ตร.ม.)

โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่แนวรั้วเนินดินเป็นต้นกระดุมทองเลื้อยมีความชัดเจนทั้งในด้านขนาดและการดำเนินการ:

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  • ลดความถี่ในการตัดแต่ง (ลดการใช้พลังงานและแรงงาน)
  • เพิ่มความชุ่มชื้นแก่หน้าดิน และลดการระเหยของน้ำ (ลดการรดน้ำ)

ผลลัพธ์

  • ขยายพันธุ์ต้นกล้ากระดุมทองเลื้อยมากกว่า 12,200 กระถาง เพื่อปลูกทดแทนหญ้าบริเวณแนวรั้วเนินดินทิศตะวันตก ขนาดพื้นที่ ประมาณ 13,250 ตารางเมตร (เฉพาะพื้นที่ฝั่งด้านคลองมหาวิทยาลัย)
  • ช่วงเวลาดำเนินการ: เริ่มปลูกลงดินเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568
  • จำนวนการปลูก: มีการดำเนินการปลูกรวม 19 ครั้ง ใช้ต้นกล้ากระดุมทองเลื้อยรวมทั้งสิ้น 12,200 กระถาง

🔬 ขั้นตอนการขยายพันธุ์ต้นกระดุมทองเลื้อย

เพื่อให้มั่นใจว่ามีต้นกล้าเพียงพอและเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ มหาวิทยาลัยได้ดำเนินการขยายพันธุ์ต้นกระดุมทองเลื้อยเอง ซึ่งเป็นวิธีที่ยั่งยืนและประหยัดต้นทุน:

  1. การเตรียมวัสดุ: ผสมดินปลูกและบรรจุลงกระถาง
  2. การคัดเลือก: ตัดเลือกกิ่งกระดุมทองจากต้นแม่ที่มีอยู่ในพื้นที่
  3. การปักชำ: ปักชำกิ่งกระดุมทองจำนวน 4-5 กิ่ง ต่อ 1 กระถาง
  4. การอนุบาล (ลดการคายน้ำ):
    • คลุมด้วยตาข่ายพรางแสงเป็นเวลา 7-10 วัน เพื่อลดการคายน้ำ
    • เปิดตาข่ายพรางแสงและดูแลต่ออีก 10 วัน ก่อนนำไปปลูกในพื้นที่จริง
  5. การปลูกและการดูแลระยะแรก: หลังปลูกลงดิน มีการรดน้ำเป็นระยะเวลา 15 วัน เพื่อให้ต้นกล้าตั้งตัวและเจริญเติบโตได้ดี

ผลลัพธ์ด้านการจัดการและต้นทุน

การเลือกใช้พืชใช้น้ำน้อยและพืชคลุมดินส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพื้นที่สีเขียว:

  • การลดกำลังคนและค่าใช้จ่าย:
    • การปลูกต้นกระดุมทองเลื้อยบริเวณพื้นที่รั้วเนินดินทิศตะวันตก ช่วยลดความถี่ในการดูแล พื้นที่ดังกล่าวได้อย่างมาก
    • ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ขนาด 39,776 ตารางเมตร นี้ ไม่ได้จัดจ้างดูแลโดยบริษัทภายนอก
    • แม้จะยังคงมีการดูแลจากเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย แต่ก็สามารถ ลดภาระกำลังคน ในการดูแลพื้นที่ขนาดใหญ่นี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ

แนวรั้วเนินดินทิศตะวันตกเดิม

 

 

 

การปักชำต้นกระดุมทองเลื้อย โดยใช้กิ่งจากต้นที่มีในพื้นที่ และการปลูกต้นกระดุมทอง ที่แนวรั้วเนินดิน

 

ปัจจุบัน ความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยแล้งที่ไม่แน่นอน ทำให้การเลือกปลูกพืชทนแล้งกลายเป็นวิธีสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในการจัดการภูมิทัศน์ ซึ่งนอกจากจะลดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการดูแลรักษา ซึ่งพืชเหล่านี้ยังคงความสวยงามและทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบในภูมิทัศน์ของมหาวิทยาลัยได้ดี

Partners/Stakeholders

-

ผู้ดำเนินการหลัก
งานภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อม
ส่วนงานหลัก