การพัฒนามันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ

detail

                  มันสำปะหลังพันธุ์ “พิรุณ” เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตหัวสดและแป้งสูง รวมทั้งต้านทานโรค และมีศักยภาพในการวิจัยต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าในการพัฒนาเป็นอาหารฟังก์ชัน ที่จะช่วยเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศที่มั่งคงและยั่งยืน

         มันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ เกิดจากการผสมแบบสลับ (cross-reciprocal) โดยเลือกใช้พันธุ์ห้วยบง 60 เป็นต้นแม่ ซึ่งมีลักษณะปริมาณแป้งในหัวสดสูง ผลผลิตสูง ปริมาณไซยาไนด์สูง และอัตราการเจริญเติบโตในช่วงแรกต่ำ ส่วนพันธุ์ห้านาที เป็นต้นพ่อ ซึ่งมีลักษณะปริมาณแป้งในหัวสดต่ำ ผลผลิตต่ำ ปริมาณไซยาไนด์ต่ำ และอัตราการเจริญเติบโตในช่วงแรกสูง

               ที่มาของชื่อสายพันธุ์ว่า "พิรุณ" หมายถึง "พืชของเทวดา" ที่มีชีวิตขึ้นอยู่กับ "น้ำฝน" หรือ "พระพิรุณ" ซึ่งนับเป็นจุดเด่นของมันสำปะหลังสายพันธุ์นี้ เมื่อปลูกในสภาพไร่แบบอาศัยน้ำฝนอย่างเดียวก็สามารถเติบโตได้ดี มีทรงต้นสวย แตกกิ่งที่ระดับเหนือศรีษะ ก้านใบสีแดง มีก้านหัวสั้น เนื้อหัวสีขาวมีปริมาณไซยาไนด์ในระดับต่ำ นับเป็นข้อดีที่ได้จากคู่ผสมพันธุ์ห้วยบง 60 และพันธุ์ห้านาที ซึ่งรองศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ไตรวิทยากร หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร (ดร.โอภาษ บุญเส็ง) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เริ่มศึกษาและวิจัยการปรับปรุงสายพันธุ์มันสำปะหลังมาอย่างยาวนานตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2549

               ลูกผสมที่สร้างขึ้น ส่วนหนึ่งนำไปใช้ในการศึกษาเครื่องหมายโมเลกุล (DNA-marker) ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือในการคัดเลือกพันธุ์มันสำปะหลัง (Marker assisted selection; MAS) ในอนาคต อีกส่วนหนึ่งนำไปคัดเลือกและประเมินพันธุ์ตามแบบวิธีมาตรฐาน (conventional breeding) และได้ประยุต์ใช้เพื่อพัฒนามันสำปะหลังทั้งพันธุ์ที่ปลูกเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรม (พิรุณ 1) ที่ให้ผลผลิตสูง แป้งสูง และทนต่อโรคพืช และสายพันธุ์ที่ปลูกเพื่อการบริโภค (พิรุณ 2 และ พิรุณ 4) ซึ่งมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่ง คือปราศจากสารกลูเต็น (gluten) สามารถนำไปพัฒนาเป็นแป้งฟลาวที่ใช้ทดแทนแป้งสาลีในการทำผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้อีกด้วย

               ปัจจุบันผลผลิตจากมันสำปะหลังสายพันธุ์พิรุณ 4 ซึ่งเป็นพันธุ์รับประทาน สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรในการส่งผลผลิตไปสู่โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ หรือรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปอาหารต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นขนมไทย เช่น มันเชื่อม ตะโก้ แกงบวด ขนาหน้านวล บ้าบิ่น ขนมมัน รวมถึงผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น บราวนี่ คัพเค้ก คุ้กกี้ และแปรรูปเป็นมันสำปะหลังทอด นอกจากนี้แล้ว ยังได้ทำการคัดเลือกพันะุ์ใหม่อีก คือพันธุ์พิรุณ 6 ซึ่งเหมาะในการนำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายชนิด และพันธุ์พิรุณ 3 และ 5 ที่ให้ผลผลิตสูง และมีความต้านทานต่อโรคใบด่าง ซึ่งกำลังระบาดและเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศ 

               ในอนาคตคณะผู้วิจัยฯ ยังมองถึงโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์มันสำปะหลังต่อไป ทั้งการเพิ่มผลผลิต พัฒนาปรับปรุงรสชาติให้ดีขึ้น รวมทั้งสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมอาหารฟังก์ชั่นจากแป้งมันสำปะหลัง โดยเพิ่มคุณภาพทางอาหารให้สูงขึ้น และมีความจำเพาะต่อการประยุกต์ใช้การพัฒนาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และไม่ลืมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน เพื่อสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

               มันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ ที่พัฒนาขึ้น ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกทั้งต่อเกษตรกร และอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังของประเทศแล้ว ยังมีผลการวิจัยจากกรมวิชาการเกษตร ที่ได้รายงานว่า มันสำปะหลังพันธุ์พิรุณ 2 สามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย 

               ดังนั้น มันสำปะหลังสายพันธุ์พิรุณ จึงเป็นผลงานที่มีคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร การพัฒนาด้านการเกษตร อุตสาหกรรมและภาพรวมของเศรษฐกิจของประเทศไทย และเพื่อความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลกที่ยั่งยืนต่อไป ดังที่ได้รับการยกย่องจาก FAO ว่า "มันสำปะหลัง คือ พืชมหัศจรรย์แห่งศตวรรษที่ 21 เพื่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม"

Partners/Stakeholders

 - เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง

 - โรงงานและอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง

 - นักวิจัยและนักวิชาการเกษตร

ผู้ดำเนินการหลัก
รองศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ไตรวิทยากร
ส่วนงานหลัก
ผู้ดำเนินการร่วม
กรมวิชาการเกษตร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) และ Kazusa DNAResearch Institute, Kisarazu, Chiba, JAPAN