ยุติปัญหา “การฆ่าตัวตาย” ด้วยระบบการเฝ้าระวังและป้องกัน

detail
SDGs ที่่เกี่ยวข้อง

กลุ่มเสี่ยงการฆ่าตัวตายได้รับการดูแล อัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จลดลง อัตราการทำร้ายตัวเองซ้ำลดลง เกิดระบบเฝ้าระวังการฆ่าตัวตายสามารถดักจับได้ทันเวลา พลวัตชุมชนเรียนรู้และพัฒนาอย่างยั่งยืน กลุ่มเสี่ยงเข้าสู่ระบบการดูแลได้ทันเวลาและสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างปลอดภัย รวมถึงได้กลยุทธ์การดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันการฆ่าตัวตาย ที่มีความเหมาะสมและมีแนวทางในการขยายผล บุคลากรของพื้นที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการดำเนินการ พลวัตชุมชนเรียนรู้และพัฒนา สามารถป้องกันและดักจับกลุ่มเสี่ยงการฆ่าตัวตายได้ทันเวลา

การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสำคัญทางสังคมและสาธารณสุขทั่วโลก จากรายงานขององค์กรอนามัยโลก พบว่า 1 ใน 100 ของการเสียชีวิตทั่วโลกเกิดจากการฆ่าตัวตายและเป็น 1 ใน 4 อันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิตในกลุ่มอายุ 15-29 ปีทั่วโลก ซึ่งการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีจำนวนสูงกว่าการเสียชีวิตจากเอดส์ มาลาเรีย และมะเร็งเต้านม ประเทศไทยการฆ่าตัวตายถูกกำหนดให้เป็นภาระงานด้านสาธารณสุขและสุขภาพจิต แต่การฆ่าตัวตายเกิดจากปัญหาที่ซับซ้อนตามระดับนิเวศสังคม (ตั้งแต่ระดับบุคคล ระหว่างบุคคล ชุมชน และสังคม) โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ระบบสังคมที่มีความซับซ้อนและปรับตัวอย่างรวดเร็ว การแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนต้องใช้แนวคิดเชิงระบบ วิเคราะห์วงรอบเชิงเหตุแลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ครอบคลุม จะนำไปสู่การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์

จากการศึกษาวิจัยในโครงการวิเคราะห์ระบบเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายที่ใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อการขยายผลด้วยกรอบแนวคิด CFIR, RE-AIM และ NPT พบว่า อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประชากรไทย มีจำนวน 5,172 คน หรือเท่ากับ 7.94 ต่อ 100,000 ประชากร เฉลี่ยวันละ 14 คน หรือเสียชีวิต 1 คน ในทุก 2 ชั่วโมง และจำนวนคนไทยที่พยายามฆ่าตัวตาย มีจำนวน 31,110 คน หรือเท่ากับ 47.74 ต่อ 100,000 ประชากร เฉลี่ยวันละ 85 คน หรือมีผู้พยายามฆ่าตัวตาย 7 คน ในทุก 2 ชั่วโมง ซึ่งเพศชายจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าเพศหญิง แต่การพยายามทำร้ายตัวเองของเพศหญิงสูงกว่าเพศชาย ส่วนช่วงวัยและอาชีพจะมีความแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาคและไม่พบรูปแบบที่ตายตัว แต่อย่างไรก็ดี เราสามารถป้องกันการฆ่าตัวตายได้ เพราะปัจจุบันนี้เรามีเครื่องมือที่สามารถขับเคลื่อนและป้องกันการฆ่าตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จังหวัดลำพูนอยู่ภายใต้การกำกับของเขตบริการสุขภาพที่ 1 มีอัตราการฆ่าตัวตายในปี พ.ศ. 2563 เพิ่มจากปี พ.ศ.  2561 เกือบ 3 เท่า โดย 1 ใน 4 อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งสาเหตุ 3 อันดับแรกได้แก่ ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจ เจ็บป่วยทางกายและทางจิตเรื้อรัง และใข้สารเสพติดหรือสุรา  ซึ่งจังหวัดลําพูนกําหนดให้ปัญหาการฆ่าตัวตายเป็นวาระจังหวัด (Province agenda) และพัฒนารูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายระดับจังหวัดด้วยแนวคิดเชิงระบบ โดย ติดตั้งระบบเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เรียกว่ายุทธศาสตร์ 4 เสา (4 Pillars) ประกอบด้วย เสาที่ 1 การกําหนดเป้าหมายด้วยการใช้ข้อมูลค้นหากลุ่มเสี่ยงเพื่อกําหนดพฤติกรรมเสี่ยงและ กลุ่มเปราะบาง เสาที่ 2 การตรวจจับด้วยการใช้ชุมชนเป็นฐานดักจับสัญญานเสี่ยงทั้งระบบออนไลน์และ ออฟไลน์และส่งข้อมูลให้ระบบดูแลรักษา (ระบบสุขภาพ) เสาที่ 3 การป้องกันและแก้ไขเชิงบูรณาการด้วยการ ทํางานเชิงรุกใช้หน่วยงานด้านสาธารณสุขเป็นแกนหลักรับข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังชุมชน เพื่อยืนยัน สถานการณ์และกําหนดแผนดําเนินการ และเสาที่ 4 การจัดการแบบบูรณาการระดับชุมชน เป็นการให้การ ช่วยเหลือด้วยการบูรณาการหลายภาคส่วนตามลักษณะของปัญหาและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ยุทธศาสตร์ 4 เสา เป็นยุทธศาสตร์ที่ใช้ชุมชนเป็นฐานจึงมีกระบวนการพัฒนาศักยภาพชุมชนเกี่ยวกับสัญญานและลักษณะสําคัญของผู้มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายแนวทางการส่งต่อให้วิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ผ่านการทํางานร่วมกันระหว่างรัฐและชุมชน การสื่อสารเพื่อการยกระดับความตระหนักและความรู้เกี่ยวกับสัญญานลักษณะและพฤติกรรมที่แสดงถึงความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ตลอดจนการเรียนรู้ผ่านการประชุมระดม ความคิด เพื่อให้การนํายุทธศาสตร์ 4 เสาของจังหวัดลําพูนไปปฏิบัติและขยายผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระยะเวลาการดำเนินงานของโครงการวันที่ 1 ธันวาคม 2565 ถึง 30 พฤศจิกายน 2566 หลักฐานเชิงประจักษ์ของการดําเนินงานและความสําเร็จในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนในการเฝ้าระวังตรวจจับและส่งต่อ ที่เกิดจากกระบวนการทํางานร่วมกัน จึงเป็นข้อมูลนําเข้าที่สําคัญในการขยายผลและปรับปรุงนโยบายให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในจังหวัดลําพูนและพื้นที่อื่นที่มีบริบทของชุมชน ระบบสุขภาพและคุณภาพของระบบบริการ เนื่องจากระบบเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตายของชุมชนจะดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนต้องมีศักยภาพในการติดตามประเมินผลเพื่อใช้เป็นข้อมูลป้อนกลับในการปรับปรุงให้ระบบมีความทันสมัย ทันเวลาต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและข้อมูลที่ได้จากการวิจัยจะนําไปพัฒนากลยุทธ์ที่ทันสมัยทําให้การนํานโยบายไปปฏิบัติบรรลุเป้าประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนได้รูปแบบการดําเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ตามแนวคิดของการวิจัยดําเนินการจึงมีความสําคัญอย่างยิ่งในการวางแผนการดําเนินการอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

 

Partners/Stakeholders

1. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน

2. สำนักงานควบคุมยาสูบ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

ผู้ดำเนินการหลัก
รศ.ดร. มธุรส ทิพยมงคลกุล
ส่วนงานหลัก
ผู้ดำเนินการร่วม
นาง พัชรี วีรพันธุ์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน, นางสาว สุรัสวดี กลิ่นชั้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, นาง อรพิน ยอดกลาง โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์, นาง อมรรัตน์ ยาวิชัย โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์, นางสาว ศิริพร อูปแปง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน