กลุ่มงานวิจัยนโยบายอาหารและการติดตามและประเมินผล (Food Policy and Monitoring and Evaluation: Food ME)

Food ME ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม เริ่มต้นในปี 2560 มุ่งมั่นผลิตข้อมูลวิจัยเพื่อใช้ชี้ทิศนโยบายด้านอาหารและโภชนาการของประเทศ และสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานรัฐและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนให้ประชากรไทยบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีความมั่นคงทางอาหาร และสามารถพึ่งพาตนเองด้านอาหารได้ทั้งในภาวะปกติและวิกฤติ รวมถึงส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในระดับพื้นที่และประเทศ

Food ME มุ่งเน้นผลิตงานวิจัยเพื่อศึกษาพฤติกรรมด้านอาหารของประชากรไทยทั้งในระดับบุคคล (individual) และสิ่งแวดล้อมทางอาหาร ทั้งเชิงสังคมและกายภาพ (social and physical environments) และวิเคราะห์นโยบายรัฐ รวมการติดตามและประเมินผล (policy analysis and monitoring and evaluation)

Food ME ได้รับความไว้วางใจจากแหล่งทุนวิจัยของหน่วยงานรัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่นๆ หลายแห่ง (เช่น สสส. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย WHO Country Cooperation Strategy on NCDs มูลนิธิทันตสาธารณสุขแห่งประเทศไทย UNICEF International Development Research Centre (IDRC) และ Australian Research Council) ที่ให้ทุนทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 20 โครงการ เป็นงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท 

                                                                    

Food ME ยังมีความร่วมมือด้านงานวิจัยและวิชาการกับสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายแห่งในปัจจุบัน เช่น International Network for Food and Obesity/non-communicable diseases Research, Monitoring and Action Support (INFORMAS), Global Evaluation and Monitoring Network for Health and Nutrition (GEMNet-Health), Centre of Research Excellence for Food Retail Environments for Health, Institute for Physical Activity and Nutrition (IPAN), Deakin University, University of Sydney, Australian National University, University of Wollongong, Griffith University และ Universiti Kebangsaan Malaysia

Food ME ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานกำหนดนโยบายและองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในกระบวนการวิจัย เพื่อให้การพัฒนางานวิจัยชอง Food ME ที่ได้มาตรฐานสากล โปร่งใส สะท้อนสถานการณ์จริง ตอบสนองความต้องการของประเทศ และเกิดการนำข้อมูลวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  

ตัวอย่างงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนและเกิดการนำไปใช้ประโยชน์ต่อเนื่อง

  1. โครงการวิจัยเพื่อชี้ทิศนโยบายควบคุมการทำการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก (Food Marketing Policy Project)

ที่มา โครงการวิจัยฯ ได้ดำเนินการติดตามการโฆษณาอาหารและเครื่่องดื่่มและผลกระทบของการทำการตลาดอาหารฯ เพื่อทำให้ทราบสถานการณ์การโฆษณาอาหารฯ และผลกระทบจากาการทำการตลาดอาหารที่มีต่อเด็ก และเป็นข้อมูลให้แก่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ในการกำหนดนโยบายด้านการควบคุมการตลาดอาหารฯ ต่อมาโครงการวิจัยฯ ได้ขยายการศึกษาด้านการตลาดอาหารฯ เพิ่มขึ้น โดยมีโครงการศึกษาทบทวนระบบการดำเนินงานด้านการติดตามและประเมินผลการควบคุมการทำการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพของเด็กไทย และโครงการการจัดทำข้อมูลพื้นฐาน (baseline data) ในการติดตามและประเมินผลการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อเด็ก เพื่อสนับสนุนข้อมูลวิชาการให้แก่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขในการขับเคลื่อนร่างพระราชบัญญัติการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก และการออกแบบกลไกการติดตามและประเมินผลการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อเด็ก

ผลการศึกษา โฆษณาอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดจาก 2 สถานีโทรทัศน์ ร้อยละ 95 เป็นโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง ซึ่งมากกว่าโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ (คิดเป็นร้อยละ 5) ในส่วนของช่องยูทูบเบอร์ 3 ช่อง ใน 9 คลิปวีดีโอ โฆษณาอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดนั้นมีมากถึงร้อยละ 67 ที่เป็นโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง ในขณะที่โฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่ำ มีเพียงร้อยละ 33 และเนื้อหาการโฆษณาอาหารฯ ได้แก่ (ตัว) เป็นสินค้าที่มีสารอาหารที่ดีมีคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และมีสารอาหารที่เสริมความสวยงามทางเพศ คือ บริโภคสินค้าแล้วรูปร่าง ในส่วนของโครงการศึกษาทบทวนและเสนอระบบการดำเนินงานด้านการติดตามและประเมินผลฯ ได้เสนอระบบและกลไกการติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการปฏิบัติตามนโยบายการควบคุมการตลาดอาหารฯ ซึ่งรวมถึงระบบติดตามเชิงรุกที่เป็นการติดตามการตลาดอาหารฯ ของกรมอนามัยกับหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง และระบบติดตามเชิงรับ ซึ่งคือระบบรับเรื่องร้องเรียน นอกจากนี้ โครงการการจัดทำข้อมูลพื้นฐานฯ อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลการโฆษณาอาหารทางโทรทัศน์และการทำการตลาดอาหารในโรงเรียน เพื่อจัดทำข้อมูลพื้นฐานให้แก่กรมนามัย กระทรวงสาธารณสุขต่อไป

ข้อเสนอแนะ ถึงแม้ประเทศไทยมีกฎหมายการควบคุมการโฆษณาอาหาร แต่กฎหมายเหล่านี้ยังควบคุมได้ไม่ครอบคลุมจำนวน ความถี่ และเนื้อหาโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการควบคุมโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้

ผลงาน ผลการศึกษาของโครงการวิจัยฯ ได้นำไปสื่อสารสู่สาธารณะ และใช้สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก ในรูปแบบต่างๆ 

การประชุม

การประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 15 วันที่ 12 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนท์ชั่น กรุงเทพฯ

 

                                                                                                                                                                   

การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อประเด็นสำคัญของ (ร่าง) พระราชบัญญัติควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ครั้งที่ 1” วันที่ 21 กันยายน 2565 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

                                                                                                                                                                   

  การประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 16 วันที่ 23 มิถุนายน 2566 (เมือง พลเมือง อัจฉริยะ:Smart city Smart Citizen) ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

                                                                                                     

Policy brief

 

                                          

ข่าว

 

    

โปสเตอร์ & Infographic

 

 

 

วีดีโอ

คลิปที่ 1 ความสำคัญของการควบคุมการตลาดอาหาร

คลิปที่ 2 ผลกระทบของการตลาดอาหาร

บทความตีพิมพ์

  1. Jindarattanaporn N, Phulkerd S. (2023). Monitoring and Restriction System on Food and Beverage Marketing in Thailand and Selected Countries: Gap, Weakness, and Opportunity for Development. Journal of Health Systems Research, 17(2) April-June: 242-263.
  2. Jindarattanaporn N. (2022). Unhealthy Food and Beverage Tie-ins on Digital Television in Thailand. Thai Health Promotion Journal, 1(4) October - December: 1-13.
  3. Jindarattanaporn N. (2022). Unhealthy Food and Beverage Advertising on Digital Television and YouTube in Thailand. Thai Health Promotion Journal, 1(4) October - December: 396-410.
  4. Jindarattanaporn N. (2022). A Review of Food and Beverage Marketing Situation in Thailand. Thai Health Promotion Journal, 1(3) July-September: 274-288.
  1. โครงการการคาดประมาณผลกระทบทางสุขภาพจากมาตรการขึ้นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในประเทศไทย (Health Impact Assessment of Implementation of SSB Taxation in Thailand)

ที่มา โครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อคาดประมาณจำนวนผู้ป่วยรายใหม่และผู้เสียชีวิตที่ป้องกันได้ของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้อง 3 โรค ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งคาดประมาณจำนวนปีสุขภาวะที่เพิ่มขึ้นของประชากรไทยและคาดประมาณค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่ลดลงเมื่อมีการจัดเก็บภาษีฯ เทียบกับการไม่ดำเนินมาตรการจัดเก็บภาษี เพื่อใช้ประกอบการกำหนดทิศทางการดำเนินมาตรการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ที่จะเก็บ 4 รอบ ที่เก็บตามจำนวนปริมาณน้ำตาล (กรัม) ต่อ 100 มิลลิลิตร และตามมูลค่าในอัตราที่เพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได แบ่งเป็น 4 รอบ รอบละ 2 ปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 กันยายน 2560 ดังนี้

  • รอบที่ 1: จัดเก็บภาษีระหว่างวันที่ 16 กันยายน 2560 ถึง 30 กันยายน 2562
  • รอบที่ 2: จัดเก็บภาษีระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 31 มีนาคม 2566 (ขยายระยะเวลาเพิ่มขึ้น 2 ครั้งเพื่อเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19)

o ครั้งที่ 1 จาก 30 กันยายน 2564 เป็น 30 กันยายน 2565

o ครั้งที่ 2 จาก 30 กันยายน 2565 เป็น 31 มีนาคม 2566

  • รอบที่ 3: จัดเก็บภาษีระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2566 ถึง 31 มีนาคม 2568
  • รอบที่ 4: จัดเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

 

ผลการศึกษา พบว่า เมื่อจัดเก็บภาษีจนถึงรอบที่ 4 (ปี 2568) ประชากรทั้งชายและหญิง ในทุกกลุ่มอายุ จะบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวานลดลงในทุกกลุ่มประเภทเครื่องดื่ม (น้ำอัดลม กาแฟพร้อมดื่ม ชาพร้อมดื่ม และเครื่องดื่มชูกำลัง) ประชากรที่มีภาวะอ้วนระดับที่ 1 (BMI 25 ถึง <30 กิโลกรัม/เมตร 2 ) จะลดลงร้อยละ 3.8 และภาวะอ้วนระดับที่ 2 (BMI ≥30 กิโลกรัม/เมตร 2 ) จะลดลงร้อยละ 7.8 ในปี 2579 จะสามารถป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ 21,000 คน รวมทั้งป้องกันการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานได้กว่า 600 คน จะสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้ประมาณ 2,000 คน รวมทั้งป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดได้เกือบ 500 คน จะสามารถป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ 1,200 คน รวมทั้งป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองได้กว่า 140 คน และภาครัฐจะประหยัดค่าใช้จ่ายรายปีสำหรับการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องได้มากถึง 121.4 ล้านบาท รวมทั้งจำนวนปีสุขภาวะตลอดชีพของประชากร เพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านปี หรือ เฉลี่ย 2 สัปดาห์ต่อคน

ข้อเสนอแนะ ที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้ชะลอการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงในรอบที่ 3 ถึง 2 ครั้ง เพื่อเยียวยาผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งที่ 1 ชะลอการจัดเก็บภาษีฯ จาก 1 ตุลาคม 2564 เป็น 1 ตุลาคม 2565 และครั้งที่ 2 จาก 1 ตุลาคม 2565 เป็น 1 เมษายน 2566 ดังนั้น เพื่อสุขภาพของประชากรไทยที่ดีถ้วนหน้า กรมสรรพสามิตควรพิจารณา ไม่ชะลอการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอีก โดยดำเนินการให้ครบจนถึงรอบที่ 4 อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้องลดลง รวมถึงภาครัฐยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคอีกด้วย

ผลงาน ผลการศึกษาของโครงการฯ ได้นำไปสื่อสารสู่สาธารณะและใช้สนับสนุนการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ในรูปแบบข่าว

ข่าว

   

สัมภาษณ์วิทยุคลื่น FM 100.5 รายการแชร์เล่าข่าวเด็ด วันที่ 24 ก.พ. 66 เวลา 15.15  น.

สัมภาษณ์วิทยุคลื่น FM 90.5 รายการจับข่าวมาคุย วันที่ 24 ก.พ. 66 เวลา 17.30 น.

สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ เจาะประเด็นข่าว 7HD วันที่ 1 เม.ย. 66 เรื่องการขึ้นภาษีรอบที่ 3 ของเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

 

  1. โครงการศึกษาพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย (Fruit and Vegetable Eating Behaviour Study in Thailand: FVEB)

ที่มา FVEB ติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของประชากรไทย เพื่อใช้วัดความก้าวหน้าตัวชี้วัด 10 ปี (ปี 2555-2564) ของแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ได้แก่ การเพิ่มการกินผักและผลไม้เพียงของประชากรไทย โดยเก็บข้อมูลที่เป็นตัวแทนระดับประเทศใน 3 รอบ (ปี 2561 2562 และ 2564) ข้อมูล FVEB ยังถูกนำไปใช้นำเสนอและผลิตเป็นชุดความรู้มากมาย เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประกอบการวางแผนและปรับปรุงงานด้านอาหารและโภชนาการด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องภายหลังโครงการนี้เสร็จสิ้น สถาบันฯ ได้รับติดตามตัวชี้วัดหลัก 10 ปีถัดมา (ปี 2565-2574) ของแผนอาหารฯ ต่อ ได้แก่ การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ ความมั่นคงทางอาหาร และความรอบรู้ด้านอาหาร ภายใต้โครงการศึกษาสถานการณ์การบริโภคอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร และความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทย (Food Consumption, Food Security and Food Literacy in Thai Population: Food Survey) ซึ่ง Food survey จะเก็บข้อมูลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 รอบ โครงการได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในการพัฒนาแบบสอบถาม และให้คำแนะนำในขั้นตอนอื่นๆ ปัจจุบัน Food Survey ยังอยู่ระหว่างเก็บข้อมูล แต่เครื่องมือสำรวจโครงการได้ถูกนำไปใช้ประกอบการเก็บข้อมูลด้านอาหารและโภชนาการของหลายหน่วยงานแล้ว เช่น สำนักโภชนาการ กรมอนามัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และภาคีแผนอาหารฯ ระดับพื้นที่

ผลการศึกษา ข้อมูล FVEB ชี้ให้เห็นว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงกินผักและผลไม้ไม่ถึงเกณฑ์ที่แนะนำ[1],[2] โดยในปี 2561, 2562 และ 2564 กินเพียงพอร้อยละ 34.5, 38.7 และ 36.5 ตามลำดับ ในปี 2564 พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการกินผักและผลไม้เพียงพอ คือ กลุ่มที่สมรสแล้ว มีอาชีพเกษตรกร อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและนอกเขตเทศบาล เข้าถึงผักและผลไม้จากตลาดนัด/ตลาดสด และซื้ออาหารด้วยตนเอง สำหรับกลุ่มผู้ที่กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอจะอยู่กลุ่มวัยเด็กเล็กและกลุ่มวัยทำงานอายุ กลุ่มคนโสด มีอาชีพพนักงานเอกชน เป็นคนกรุงเทพมหานครและอาศัยอยู่ในเขตเทศบาล

ข้อเสนอแนะ เพิ่มมาตรการส่งเสริมการกินเข้าถึงผักและผลไม้และอาหารอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพที่เหมาะสมตามกลุ่มวัยและพื้นที่อยู่อาศัย รวมการเพิ่มความรอบรู้ด้านอาหารของประชากรไทยในแต่ละกลุ่ม และสร้างสิ่งแวดล้อมทางอาหารที่เอื้อต่อการเข้าถึงอาหารที่ต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น การปลูกผักและผลไม้กินเองเพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงผักและผลไม้ในระดับครัวเรือน

ผลงาน ผลการศึกษาของ FVEB ถูกนำไปสื่อสารในเวทีสาธารณะในประเทศและนานาชาติในหลายช่องทาง

การประชุม

งานแถลงข่าว “เพราะรักจึงให้ผักนำ” สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ที่ Park@Siam กรุงเทพมหานคร

งานประชุมวิชากรเพื่อเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ที่โรงแรมริชมอนด์ สไตลิส คอนเวนชั่น นนทบุรี

เวทีหารือสาธารณะ อิ่ม ดี มีสุข “ผักจะเป็นวาระแห่งชาติได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 

 

ประชุม Partners’ Consultation on Promoting Fruit and Vegetable Consumption in Thailand เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564

วีดีโอ

วีดีโอนำเสนอผลงานเรื่อง “A longitudinal household survey of fruit and vegetable consumption in Thai population” ช่อง Mahidol world channel

เอกสารโครงการ

รายงานผลการศึกษา ปี 2561 2562 และ 2564

Infographic ข้อมูลปี 2561 และ 2562

 

บทความตีพิมพ์

  1. Phulkerd S, Thapsuwan S, Gray RS, Chamratrithirong A, Pattaravanich U, Ungchusak C, Saonuam P. Life satisfaction before and during COVID-19 pandemic in Thailand. International Journal of Public Health 2023, 68:1605483.
  2. Phulkerd S, Thongcharoenchupong N, Chamratrithirong A, Gray RS, Pattaravanich U, Ungchusak C, Saonuam P. Socio-demographic and geographic disparities of population-level food insecurity during the COVID-19 pandemic in Thailand. Frontiers in Public Health 2023, 10:1071814.
  3. Phulkerd S, Thapsuwan S, Chamratrithirong A, Gray RS, Pattaravanich U, Ungchusak C, Saonuam P. Implementing population-wide mass media campaigns: Key drivers to meet global recommendations on fruit and vegetable consumption. PLOS ONE 2022, 17(8):e0273232.
  4. Phulkerd S, Thapsuwan S, Chamratrithirong A, Gray RS. Influence of healthy lifestyle behaviors on life satisfaction in the aging population of Thailand: A national population-based survey. BMC Public Health 2021, 21, 43.
  5. Phulkerd S, Thapsuwan S, Thongcharoenchupong N, Chamratrithirong A, Gray RS. Linking fruit and vegetable consumption, food safety and health risk attitudes and happiness in Thailand: evidence from a population-based survey. Ecology of Food and Nutrition 2020, 1-16.
  6. Phulkerd S, Gray RS, Chamratrithirong A. The influence of co-residential and non-co-residential living arrangements on sufficient fruit and vegetable consumption in the aging population in Thailand. BMC Geriatrics 2020, 20, 476.
  7. Phulkerd S, Thapsuwan S, Gray RS, Chamratrithirong A. Characterizing urban home gardening and associated factors to shape fruit and vegetable consumption among non-farmers in Thailand. International Journal of Environmental Research and Public Health 2020, 17(15), 5400.
  8. Phulkerd S, Thapsuwan S, Thongcharoenchupong N, Gray RS, Chamratrithirong A. Sociodemographic differences affecting insufficient fruit and vegetable intake: A population-based household survey of Thai people. Journal of Health Research 2020, 34(5), 419-429.

 

 

  1. โครงการสำรวจติดตามพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวานของคนไทย ภายหลังการออกมาตรการเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน (Monitoring Survey of Sugar-Sweetened Beverage Consumption in Thailand: SSB)

ที่มา SSB สำรวจพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานของประชากรไทย ภายหลังจากที่มาตรการเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ในปี 2561 2562 2564 และ 2566 เก็บข้อมูลที่เป็นตัวแทนระดับประเทศ ครอบคลุมกลุ่มวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยผู้สูงอายุ และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานของคนไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินการเก็บภาษีฯ ของภาครัฐในระยะที่ผ่านมาและการขึ้นภาษีในระยะถัดไป โดยในปี 2566 สถาบันฯ ได้รับการสนับสนุนให้เพิ่มการประเมินพฤติกรรมการใช้ฉลากสัญลักษณ์โภชนาการ “ทางเลือกสุขภาพ” ที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังขับเคลื่อนอยู่ สำรวจการใช้ฉลากนี้ประกอบการเลือกซื้อเครื่องดื่มของผู้บริโภคไทย ภายใต้โครงการสำรวจติดตามพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มที่มีรสหวาน และเครื่องดื่มที่ได้ฉลากทางเลือกสุขภาพ เพื่อใช้ขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอาหารเพื่อสุขภาวะ ปี 2566

ผลการศึกษา จากผลการศึกษา 3 ปี พบว่า ปี 2562 ประชากรไทยดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานเฉลี่ยลดลงจากปี 2561 แต่กลับมาดื่มเพิ่มขึ้นในปี 2564 (370.9 มิลลิลิตร (มล.) 356.9 มล. และ 395.6 มล. ตามลำดับ) โดยทั้งสามปี ชายไทยมีการดื่มเฉลี่ยรวมมากกว่าหญิงไทย (เพศชายมีการดื่มเฉลี่ยรวมในปี 2561 2562 และ 2564 เท่ากับ 427.0 มล. 408.3 มล. และ 448.1 มล. ตามลำดับ เพศหญิงมีการดื่มเฉลี่ยรวมในปี 2561 2562 และ 2564 เท่ากับ 308.4 มล. 300.2 มล. และ 344.6 มล. ตามลำดับ) ปี 2564 กลุ่มเด็กเล็กและวัยทำงานตอนกลางดื่มเฉลี่ยรวมเพิ่มขึ้น (537.9 มล. และ 420.9 มล. ตามลำดับ) และเกือบทุกกลุ่มอายุดื่มในปี 2564 มากที่สุด ผู้มีรายได้ส่วนใหญ่ดื่มลดลงในปี 2562 และเพิ่มขึ้นในปี 2564 ยกเว้นกลุ่มที่ไม่มีรายได้ที่ดื่มเพิ่มขึ้นในปี 2562 และลดลงในปี 2564  ข้อมูล SSB ยังพบว่า 2 ใน 5 ของคนไทยจะลดหรือเลิกการดื่มเครื่องดื่มนี้ หากราคาเครื่องดื่มเพิ่มไปถึงร้อยละ 20

ข้อเสนอแนะ การขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มให้อยู่ในระดับที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อ/ดื่มเครื่องดื่มถูกจัดเก็บภาษีมีความจำเป็น (อย่างน้อยร้อยละ 20) มีความจำเป็นในการช่วยลดการเข้าถึงและดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงของคนไทย

ผลงาน  ผลการศึกษาของ SSB ถูกนำไปอ้างถึงโดยหน่วยงานต่างๆ ผ่านช่องทางข่าวสาร 

บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จากข้อมูลโครงการ

Phulkerd, S., Thongcharoenchupong, N., Chamratrithirong, A., Pattaravanich, U., Sacks, G., & Prasertsom, P. (2022). Influence of sociodemographic and lifestyle factors on taxed sugar-sweetened beverage consumption in Thailand. Food Policy, 109, 102256. doi:https://doi.org/10.1016/j.foodpol.2022.102256

Phulkerd S, Thongcharoenchupong N, Chamratrithirong A, Soottipong Gray R, Prasertsom P.    Changes in Population-Level Consumption of Taxed and Non-Taxed Sugar-Sweetened     Beverages (SSB) after Implementation of SSB Excise Tax in Thailand: A Prospective Cohort     Study. Nutrients. 2020 Oct 27;12(11):3294. doi: 10.3390/nu12113294. PMID: 33121147;             PMCID: PMC7692763.

 

 

 

 

Partners/Stakeholders

-

ผู้ดำเนินการหลัก
รองศาสตราจารย์ ดร.สิรินทร์ยา พูลเกิด
ส่วนงานหลัก