การบันทึกและอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม: มรดกแห่งความต่อเนื่องทางวิชาการ

detail

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล คือศูนย์กลางการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยต่อเนื่องกว่าหลายทศวรรษเพื่อต่อสู้กับวิกฤตความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม

“ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต” (ศฟภว.) (The Resource Center for Revitalization and Maintenance of Language and Cultures)

เป็นแหล่งของการศึกษา เรียนรู้ ฟื้นฟู และแลกเปลี่ยนวิธีการในการศึกษาและวิธีการในการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในลักษณะสหวิทยาการ สำหรับนักวิชาการทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งชุมชนต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ

  1. การศึกษาและบันทึกภาษาและวัฒนธรรม อาทิ
    • การวิจัยและอธิบายระบบภาษา
    • การศึกษานอกสถานภาพของภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชนในพื้นที่ต่าง ๆ และในกลุ่มอายุต่าง ๆ
    • การสร้างพจนานุกรม การศึกษารวบรวมนิทานพื้นบ้าน เพลงพื้นบ้าน ฯลฯ เพื่อให้ได้องค์ความรู้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะเสื่อมสลายไป
  2. การร่วมมือกับชุมชนในการดำเนินกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรม ตามความสนใจและความพร้อมของแต่ละชุมชน โดย
  • จัดประชุมปฏิบัติการ ฝึกอบรม และดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ
  • จัดพิมพ์เผยแพร่ผลงานจัดประชุมระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
  • เป็นที่ปรึกษาด้านวิธีการศึกษาและวิธีการฟื้นฟูภาษาแก่ชุมชนที่สนใจการจัดทำตัวเขียน การฝึกเขียน การจัดทำหนังสือในภาษาพื้นบ้าน การจัดหลักสูตรท้องถิ่น การจัดศูนย์การเรียนรู้ชุมชน

มรดกทางวัฒนธรรมระดับชาติและการบันทึกเชิงระบบ

สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้นำในการสร้างและดูแลรักษาฐานข้อมูลระดับชาติผ่านกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่อง:

🔑รากฐานการสำรวจ (Decades of Research):

การศึกษาสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยได้เริ่มต้นในปี 2536-2547 โดยคณะอาจารย์และนักวิจัยจากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำโครงการแผนที่แสดง ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย และได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของการศึกษาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์และการจัดทำแผนที่ด้วยระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS: Geographic Information System)

นักวิจัยใช้แบบสอบถามสำหรับการสำรวจและเก็บข้อมูลประชากรที่พูดภาษาต่าง ๆ ในชุมชน มีทั้งจำนวนกลุ่มภาษา ประชากร รวมทั้งพิกัดทางภูมิศาสตร์และชื่อหมู่บ้าน ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมได้ถึงมากกว่า 70 ภาษา 66,272 หมู่บ้าน 7,284 ตำบล 924 อำเภอ ใน 76 จังหวัด และมีการจัดการข้อมูลด้านภาษาและจำนวนประชากร ให้มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เพื่อระบุที่ตั้งชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายตัวอยู่บนพื้นที่ต่าง ๆ

ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่าในประเทศไทยมีกลุ่มภาษามากถึง 70 กว่ากลุ่ม โดยจำแนกตามลักษณะโครงสร้างทางภาษาได้ 5 ตระกูลภาษา ได้แก่

  1. ตระกูลไท
  2. ตระกูลออสโตรเอเชียติก
  3. ตระกูลออสโตรนีเชียน
  4. ตระกูลจีน-ทิเบต
  5. ตระกูลม้ง-เมี่ยน
     

นอกจากนี้ยังพบว่า มีกลุ่มภาษาจำนวน 15 กลุ่ม ที่มีผู้พูดจำนวนน้อยจึงทำให้ภาษา อยู่ในสภาวะวิกฤตรุนแรง ในขณะเดียวกันยังพบภาษาตามแนวชายแดนที่มีจำนวนผู้พูดเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้มีการศึกษาและค้นหาแนวทางฟื้นฟูภาษาที่กำลังอยู่ในภาวะใกล้สูญ และการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษาในโรงเรียนที่มีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์

จากการสำรวจอย่างเป็นระบบ (ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530) ซึ่งนำไปสู่การจัดทำ "แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย" ที่เป็น ฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ขนาดใหญ่

🌐 การพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล:

จากข้อมูลจากการสำรวจผู้คนทั่วประเทศ จึงนำฐานข้อมูลด้านภาษา ประชากร และถิ่นอาศัยที่ ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ จึงพัฒนาการนำเสนอในรูปแบบแผนที่ที่ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (GIS) และสามารถสืบค้นได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยแบ่งการเข้าถึงออกเป็น 3 มิติหลัก ดังนี้:

  1. มิติภาษา: ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลตาม ตระกูลภาษา, ภาษาในภาวะวิกฤต, ภาษาตามแนวชายแดน, และภาษามือ โดยแสดงผลตามขอบเขตพื้นที่ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล
  2. มิติพื้นที่: สามารถค้นหาข้อมูลตามลำดับชั้นของพื้นที่ได้ถึง 5 ระดับ (ภูมิภาค, จังหวัด, อำเภอ, ตำบล, และหมู่บ้าน)
  3. มิติโครงการวิจัย: แสดงผลเฉพาะจุดที่มี ทีมวิจัยของศูนย์ฯ และชุมชน ทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรม

ข้อมูลฐานรากถูกพัฒนาต่อยอดผ่าน โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อจัดทำ "แผนที่ภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย" ทำให้สามารถระบุและติดตามสถานะ ความเสี่ยงต่อการสูญหาย ของกลุ่มภาษาที่อยู่ใน ภาวะวิกฤตรุนแรง ได้อย่างแม่นยำ

 

 

📜 การอนุรักษ์มรดกภาษาเขียนของกลุ่มชาติพันธุ์:

ดำเนิน โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณ เพื่อทำ สำเนาดิจิทัล และเผยแพร่ ภาษาเขียนดั้งเดิม ของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาที่สำคัญ

ภาวะวิกฤตของภาษาและเอกสารโบราณ

ภาคกลางของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง โดยมีกลุ่มผู้พูดภาษาตระกูลไทอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น ไทยยวน, ไทยดำ, พวน, ลาวเวียง, และลาวครั่ง ชนชาติพันธุ์เหล่านี้ล้วนมีภาษาพูดและภาษาเขียนดั้งเดิมเป็นของตนเอง

ปัจจุบัน ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้กำลังเผชิญกับ ภาวะวิกฤต เนื่องจากถูกแทรกแซงโดยภาษาไทยมาตรฐานผ่านสื่อมวลชน ทำให้เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาแม่ของตนได้แล้ว ที่วิกฤตยิ่งกว่าคือ ภาษาเขียน เพราะเอกสารโบราณที่บันทึกภูมิปัญญาด้วยอักษรดั้งเดิมกำลังขาดการดูแล และสุ่มเสี่ยงต่อการชำรุดสูญหายอย่างถาวร เอกสารเหล่านี้จึงเป็นแหล่งสุดท้ายในการกอบกู้ "ภาษาเขียนดั้งเดิม" ซึ่งเป็นรากฐานขององค์ความรู้ทางภูมิปัญญา (Knowledge) และอัตลักษณ์ที่จับต้องไม่ได้ (ICH) กลับคืนสู่ชุมชน

โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเพื่อการอนุรักษ์

เพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าว มหาวิทยาลัยจึงได้ริเริ่ม โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณของกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตภาคกลางและภาคตะวันตก (ได้รับทุนสนับสนุนจากเงินรายได้สำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2564) โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย 4 หน่วยงาน ได้แก่ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ คือ:

  1. อนุรักษ์: ทำ สำเนาดิจิทัล เอกสารโบราณเพื่อป้องกันการสูญหายถาวร
  2. เผยแพร่: นำสำเนาดิจิทัลเผยแพร่ใน ฐานข้อมูล ที่จัดทำไว้เพื่อการเข้าถึงสาธารณะ
  3. ต่อยอดความรู้: พิมพ์หนังสือประวัติชุมชน และเรื่องราวที่ปรากฏในเอกสารโบราณที่อนุรักษ์แล้ว เพื่อแปลงภูมิปัญญาให้เป็นสื่อการเรียนรู้

    📜 การอนุรักษ์และจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณ

ประเภทของเอกสารโบราณ เอกสารโบราณที่ต้องได้รับการอนุรักษ์สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้:

  • จารึก: ร่องรอยตัวอักษรโบราณที่เกิดจากการใช้วัสดุปลายแหลม (เช่น เหล็กจาร, เหล็กสกัด) ขีดเขียนบนเนื้อวัสดุต่างๆ เช่น หิน, ไม้, หรือโลหะ
  • คัมภีร์ใบลาน: เอกสารที่ทำจากใบของต้นลาน ที่ผ่านกรรมวิธีในการเตรียมและจารด้วยเหล็กจารให้เป็นร่องตัวอักษร โดยมีทั้งใบลานสั้นและใบลานยาว
  • สมุดไทยและอื่น ๆ: เอกสารโบราณที่ทำจากเปลือกไม้ชนิดต่าง ๆ

 

🛠️ ขั้นตอนการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน

การอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานที่ถูกเก็บไว้นานและนำไปสู่การจัดทำสำเนาดิจิทัล (Digital Preservation) มีลำดับขั้นตอนที่สำคัญและต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:

1. การทำความสะอาด (Cleaning)

  • วัตถุประสงค์: กำจัดฝุ่นและคราบสกปรกออกจากพื้นผิวของใบลาน

  • วิธีการ:

    • ใช้แปรงขนนุ่ม ปัดไปในทิศทางเดียวกันเสมอ เพื่อป้องกันใบลานหัก

    • เมื่อปัดฝุ่นแล้ว อาจใช้น้ำเปล่าหรือแอลกอฮอล์เช็ดซ้ำ โดยต้องเช็ดไปใน ทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับการปัดฝุ่น 

2. การทำทะเบียน (Cataloging)

  • วัตถุประสงค์: บันทึกรายละเอียดของคัมภีร์ใบลานแต่ละผูกลงในแบบบันทึกที่ออกแบบไว้

  • รายละเอียดที่บันทึก: ประกอบด้วย รหัสเอกสาร (สำหรับค้นหา), แหล่งที่พบ, สภาพเบื้องต้น, ชื่อเรื่อง, ศักราช, อักษรและภาษาที่ใช้บันทึก, จำนวนหน้า, ขนาด, ชื่อผู้บันทึก, และวันเดือนปีที่บันทึกข้อมูล

3. การทำสำเนาดิจิทัล (Digitalization)

  • วัตถุประสงค์: ถ่ายภาพคัมภีร์ใบลานด้วยกล้องถ่ายรูปดิจิทัลที่ตั้งค่าความละเอียดสูง

  • กระบวนการถ่ายภาพ:

    • การเตรียม: ต้อง แก้เอาสายสนอง (ด้ายร้อยใบลาน) ออกก่อนเพื่อความสะดวกในการถ่ายภาพ
    • การถ่ายภาพ: ถ่ายภาพใบลานตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้ายของแต่ละผูก โดยถ่ายป้ายที่ระบุรหัสและชื่อเอกสารก่อนเสมอ
    • พื้นหลัง: สามารถใช้พื้นสีใดก็ได้ (เช่น สีขาว, ดำ, ฟ้า, หรือเขียว)

4. การซ่อมแซมและจัดเก็บ (Repair and Storage)

  • การซ่อมแซม: หากพบว่าใบลานชำรุดเสียหายเล็กน้อย (เช่น มีรอยฉีก) จะทำการซ่อมแซมก่อนการจัดเก็บ

  • การจัดเก็บกลับคืน: คัมภีร์ใบลานจะถูก ร้อยสายสนอง กลับให้อยู่ในสภาพเดิม (หากสายสนองเก่ามากจะเปลี่ยนใหม่)

  • การป้องกัน: ห่อคัมภีร์ใบลานแต่ละผูกหรือแต่ละชุดด้วย ผ้าขาวดิบหรือผ้าที่ปลอดสารเคมี เพื่อป้องกันฝุ่นและแมลง

  • การค้นหา: ผูกป้ายที่ระบุรหัสและชื่อเอกสารที่ห่อแล้ว เพื่อความสะดวกในการค้นหาในภายหลัง

   


🗺มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นและการฟื้นฟูที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน

งานวิจัยของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย นำไปสู่การปฏิบัติการในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการทำงานร่วมกับชุมชน:

งานวิจัยสู่การปฏิบัติ: ใช้ความเชี่ยวชาญด้าน นวัตกรรมการศึกษา ในการพัฒนาวิธีการฟื้นฟูภาษาที่เหมาะสมกับบริบท เพื่อจัดทำ พจนานุกรม นิทานพื้นบ้าน และ เพลงพื้นบ้าน ในรูปแบบต่างๆ

 

การเสริมพลังชุมชน (Mahidol Engagement): มหาวิทยาลัยใช้ พันธกิจสัมพันธ์กับสังคม เป็นกลไกในการจัด ฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแก่ครูและผู้นำชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการ สร้างตัวเขียน หลักสูตรท้องถิ่น และ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดจากภายในชุมชนเองอย่างยั่งยืน

ตัวอย่างโครงการ

โครงการจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน (Mother Tongue-Based Multilingual Education: MTB MLE)
นับเป็น กลยุทธ์สำคัญ ในการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์และผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่

มหาวิทยาลัยร่วมกับยูนิเซฟสนับสนุน การจัดการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษา (MTB MLE) เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้และทักษะการรู้ภาษาไทยของเด็กกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจน

🎯 ผลลัพธ์เชิงประจักษ์และการพัฒนาการเรียนรู้

  • พัฒนาการทางภาษา: หลักฐานจากโครงการนำร่องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ใช้ภาษาไทย-มลายูถิ่น) ชี้ว่า เด็กชาติพันธุ์มี ผลการเรียนและทักษะการรู้ภาษาไทยที่ดีขึ้น เมื่อได้เรียนโดยใช้ภาษาแม่ (มลายูถิ่น) เป็นฐานในช่วงปีแรก ๆ ก่อนจะเชื่อมโยงไปสู่การเรียนการสอนโดยใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในที่สุด
  • การพัฒนาสมรรถนะ: โครงการแสดงให้เห็นว่าเด็กมีการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยอย่างรวดเร็วและมี ผลการเรียนในวิชาอื่น ๆ ที่ดีขึ้น
  • การยอมรับ: โครงการได้รับ การตอบรับที่ดีจากผู้ปกครองและชุมชนท้องถิ่น และได้รับรางวัลระดับนานาชาติ UNESCO King Sejong Literacy Prize ประจำปี พ.ศ. 2559

️ ภาวะความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข

  • อุปสรรคการเรียนรู้: เด็กที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่มักพบอุปสรรคในการเรียนรู้ มีโอกาสอยู่ในระบบโรงเรียนน้อยกว่าเด็กทั่วไป มี ผลคะแนนสอบในระดับต่ำ และมีแนวโน้มที่จะ ออกจากโรงเรียนกลางคัน
  • อัตราการไม่รู้หนังสือ: แม้ประเทศไทยจะมีอัตราการรู้หนังสือของเยาวชนสูงถึงร้อยละ 98 แต่ผลสำรวจปี 2558-2559 ระบุว่า เยาวชนอายุ 15-24 ปี ในครอบครัวที่ไม่ได้พูดภาษาไทย ประมาณ 1 ใน 3 คน ยังคงไม่รู้หนังสือภาษาไทย
 

🛣️ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่ออนาคต

ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเรียกร้องให้มีการขยายผลโครงการ MTB MLE เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา:

  • บูรณาการในนโยบายแห่งชาติ: ควรมีการ บูรณาการแนวทางจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน เข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการศึกษาแห่งชาติ
  • ขยายผลนวัตกรรม: ควรขยายผลนวัตกรรม MTB MLE ไปยัง โรงเรียนประถมศึกษาอื่น ๆ ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำแนวทางนี้ไปใช้กับ ภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทยที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่
  • หลักฐานเชิงประจักษ์: ผู้กำหนดนโยบายควรใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ จากโครงการนี้ในการวางแผนการศึกษาสำหรับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อจัดการกับปัญหาความไม่เสมอภาคและลดช่องว่างระหว่างนักเรียนในเมืองใหญ่และชนบท

ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การขยายผลนวัตกรรมนี้จะ "สร้างสะพานเชื่อมโยงไปสู่อนาคตที่สดใสให้แก่เด็ก ๆ อีกเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ" ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Education for All และ Inclusive Education


🌍 มรดกของชุมชนพลัดถิ่นและในภาวะวิกฤต: การดำเนินงานและการจัดการความเปราะบาง

การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเน้นการจัดการ สภาวะวิกฤต ที่คุกคามภาษาและวัฒนธรรม โดยยึดหลักการ พหุวัฒนธรรมและพหุภาษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และตอบสนองต่อภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทของเอเชีย:

  • การจัดการความเปราะบาง: งานวิจัยของศูนย์ฯ มุ่งเน้นไปที่การศึกษา สภาวะวิกฤต ที่คุกคามภาษาและวัฒนธรรม ซึ่งรวมถึง กลุ่มชาติพันธุ์ตามแนวชายแดน และ ชุมชนที่ต้องโยกย้ายถิ่นฐาน (Displaced Communities)
  • การสร้างองค์ความรู้เฉพาะภูมิภาค: สร้างองค์ความรู้ในการฟื้นฟูที่สอดคล้องกับ บริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเอเชีย โดยเฉพาะ เพื่อให้เกิดแนวทางการช่วยเหลือที่เหมาะสมที่สุดในการธำรงรักษาอัตลักษณ์

🎓 ตัวอย่างโครงการวิจัยที่สนับสนุนการอนุรักษ์

มหาวิทยาลัยได้ใช้ นวัตกรรมการศึกษา และ องค์ความรู้เชิงทฤษฎี เพื่อสนับสนุนการอยู่รอดของมรดกทางวัฒนธรรมในบริบทที่เปราะบาง:

1. ภาคปฏิบัติ: การจัดการศึกษาและธำรงรักษาภาษา

🏝 โครงการเกาะลันตา: ภาษาชนพื้นเมืองที่เสี่ยงต่อการถูกกลืน

โครงการนี้จัดการกับ ภาวะวิกฤตทางภาษา ของชนพื้นเมือง:

  • กลุ่มเป้าหมาย: เน้นกลุ่ม ชาวเลอูรักลาโวยจ ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่ภาษาของตนเองเสี่ยงต่อการถูกกลืนโดยภาษาของคนกลุ่มใหญ่
  • การธำรงรักษา: ใช้รูปแบบ ทวิ-พหุภาษาศึกษา (MTB MLE) โดยใช้ ภาษาอูรักลาโวยจและภาษาไทย เป็นสื่อการสอน ซึ่งถือเป็นการ อนุรักษ์ภาษาในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และใช้เป็นต้นทุนในการพัฒนาการเรียนรู้
  • ผลผลิตรูปธรรม: "คู่มือระบบเขียนภาษาอูรักลาโวยจอักษรไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหิดล" ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการบันทึกภาษาและภูมิปัญญา เพื่อใช้ในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น 

👧 โครงการระนอง-ตาก: สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กข้ามชาติ

โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ มรดกของชุมชนพลัดถิ่น โดยตรง:

  • บริบทความพลัดถิ่น: มุ่งเน้นไปที่ เด็กข้ามชาติ (Migrant Children) ในพื้นที่ชายแดน (ระนองและตาก/แม่สอด) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนพิเศษด้านภาษาเพื่อเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
  • การเชื่อมโยงมรดก: การพัฒนาทักษะครูในการสอนภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง (TSL) ช่วยให้เด็กกลุ่มนี้สามารถดำรงชีวิตในสังคมใหม่และยังคงรักษา อัตลักษณ์ และ ภาษาเดิม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ภาษาใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสการศึกษา

2. 🧠 การสร้างองค์ความรู้: สมรรถนะระหว่างวัฒนธรรม

💡 โครงการแรงงานต่างชาติ: "พหุวัฒนธรรมสมดุล"

โครงการนี้มุ่งเน้นการจัดการ มรดกของชุมชนที่ย้ายถิ่น (Heritage of Displaced Communities) ในระดับสังคม:

  • กลุ่มเป้าหมาย: แรงงานต่างชาติสัญชาติเมียนมา กัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ย้ายถิ่นที่นำภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของตนเองเข้ามาในสังคมไทย
  • วัตถุประสงค์: สร้าง “สมรรถนะระหว่างวัฒนธรรม” (Intercultural Competence) ผ่านแนวคิด “พหุวัฒนธรรมสมดุล” (Balanced multiculturalism) เพื่อให้สังคมไทยสามารถเข้าใจ ยอมรับ และอยู่ร่วมกับมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชนพลัดถิ่นเหล่านี้ได้อย่างสันติสุข โดยมุ่งลดความขัดแย้งและการกีดกัน
  • ผลผลิตรูปธรรม: "หนังสือภาษาเมียนมาพื้นฐาน 1" ซึ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ภาษาเมียนมาสำหรับชาวไทยที่ถูกออกแบบตามหลักภาษาศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางภาษา

โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบันทึกภาษา แต่ยังทำงานอย่างบูรณาการเพื่อทำให้มรดกทางวัฒนธรรมที่เปราะบางสามารถ ดำรงอยู่รอด และ อยู่ร่วมกับสังคมใหม่ ได้อย่างยั่งยืน.


🎯 สรุปผลกระทบที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

การดำเนินโครงการบันทึกและอนุรักษ์ภาษาในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ นี้สร้างผลกระทบที่ชัดเจนต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาระดับโลก:

🎯 SDG 11.4: การปกป้องและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของโลก

โครงการทั้งหมด ทั้งการทำแผนที่ GIS, การกอบกู้เอกสารโบราณ, และการฟื้นฟูในชุมชน ล้วนเป็นไปเพื่อ ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จากการสูญหาย และเน้นการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง

🎯 SDG 4: การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การแปลงเอกสารโบราณและองค์ความรู้ทางภาษาให้เป็น ฐานข้อมูลดิจิทัล และ สื่อการเรียนรู้หลักสูตรท้องถิ่น ช่วยเปิดโอกาสให้คนทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชนในชุมชน สามารถ เข้าถึงและเรียนรู้ภาษาและประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษ ได้ตลอดชีวิต ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

Partners/Stakeholders

คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง

คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ

Endangered Languages Archive (ELAR), SOAS University of London 

ทุนสนับสนุนจาก Newton Fund

 

ผู้ดำเนินการหลัก
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย
ส่วนงานหลัก