สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล คือศูนย์กลางการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยต่อเนื่องกว่าหลายทศวรรษเพื่อต่อสู้กับวิกฤตความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล คือศูนย์กลางการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยต่อเนื่องกว่าหลายทศวรรษเพื่อต่อสู้กับวิกฤตความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรม
“ศูนย์ศึกษาและฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต” (ศฟภว.) (The Resource Center for Revitalization and Maintenance of Language and Cultures)
เป็นแหล่งของการศึกษา เรียนรู้ ฟื้นฟู และแลกเปลี่ยนวิธีการในการศึกษาและวิธีการในการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในลักษณะสหวิทยาการ สำหรับนักวิชาการทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งชุมชนต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ
มรดกทางวัฒนธรรมระดับชาติและการบันทึกเชิงระบบ
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้นำในการสร้างและดูแลรักษาฐานข้อมูลระดับชาติผ่านกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่อง:
🔑รากฐานการสำรวจ (Decades of Research):
การศึกษาสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยได้เริ่มต้นในปี 2536-2547 โดยคณะอาจารย์และนักวิจัยจากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำโครงการแผนที่แสดง ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย และได้รับการสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของการศึกษาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์และการจัดทำแผนที่ด้วยระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS: Geographic Information System)
นักวิจัยใช้แบบสอบถามสำหรับการสำรวจและเก็บข้อมูลประชากรที่พูดภาษาต่าง ๆ ในชุมชน มีทั้งจำนวนกลุ่มภาษา ประชากร รวมทั้งพิกัดทางภูมิศาสตร์และชื่อหมู่บ้าน ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมได้ถึงมากกว่า 70 ภาษา 66,272 หมู่บ้าน 7,284 ตำบล 924 อำเภอ ใน 76 จังหวัด และมีการจัดการข้อมูลด้านภาษาและจำนวนประชากร ให้มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ เพื่อระบุที่ตั้งชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายตัวอยู่บนพื้นที่ต่าง ๆ
ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่าในประเทศไทยมีกลุ่มภาษามากถึง 70 กว่ากลุ่ม โดยจำแนกตามลักษณะโครงสร้างทางภาษาได้ 5 ตระกูลภาษา ได้แก่
นอกจากนี้ยังพบว่า มีกลุ่มภาษาจำนวน 15 กลุ่ม ที่มีผู้พูดจำนวนน้อยจึงทำให้ภาษา อยู่ในสภาวะวิกฤตรุนแรง ในขณะเดียวกันยังพบภาษาตามแนวชายแดนที่มีจำนวนผู้พูดเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้มีการศึกษาและค้นหาแนวทางฟื้นฟูภาษาที่กำลังอยู่ในภาวะใกล้สูญ และการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษาในโรงเรียนที่มีนักเรียนกลุ่มชาติพันธุ์
จากการสำรวจอย่างเป็นระบบ (ตั้งแต่ทศวรรษที่ 2530) ซึ่งนำไปสู่การจัดทำ "แผนที่ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย" ที่เป็น ฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ขนาดใหญ่

🌐 การพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล:
จากข้อมูลจากการสำรวจผู้คนทั่วประเทศ จึงนำฐานข้อมูลด้านภาษา ประชากร และถิ่นอาศัยที่ ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ จึงพัฒนาการนำเสนอในรูปแบบแผนที่ที่ระบุตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ (GIS) และสามารถสืบค้นได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยแบ่งการเข้าถึงออกเป็น 3 มิติหลัก ดังนี้:
ข้อมูลฐานรากถูกพัฒนาต่อยอดผ่าน โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) เพื่อจัดทำ "แผนที่ภาษาและกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย" ทำให้สามารถระบุและติดตามสถานะ ความเสี่ยงต่อการสูญหาย ของกลุ่มภาษาที่อยู่ใน ภาวะวิกฤตรุนแรง ได้อย่างแม่นยำ
📜 การอนุรักษ์มรดกภาษาเขียนของกลุ่มชาติพันธุ์:
ดำเนิน โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณ เพื่อทำ สำเนาดิจิทัล และเผยแพร่ ภาษาเขียนดั้งเดิม ของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาที่สำคัญ
ภาวะวิกฤตของภาษาและเอกสารโบราณ
ภาคกลางของประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง โดยมีกลุ่มผู้พูดภาษาตระกูลไทอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น ไทยยวน, ไทยดำ, พวน, ลาวเวียง, และลาวครั่ง ชนชาติพันธุ์เหล่านี้ล้วนมีภาษาพูดและภาษาเขียนดั้งเดิมเป็นของตนเอง
ปัจจุบัน ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้กำลังเผชิญกับ ภาวะวิกฤต เนื่องจากถูกแทรกแซงโดยภาษาไทยมาตรฐานผ่านสื่อมวลชน ทำให้เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดภาษาแม่ของตนได้แล้ว ที่วิกฤตยิ่งกว่าคือ ภาษาเขียน เพราะเอกสารโบราณที่บันทึกภูมิปัญญาด้วยอักษรดั้งเดิมกำลังขาดการดูแล และสุ่มเสี่ยงต่อการชำรุดสูญหายอย่างถาวร เอกสารเหล่านี้จึงเป็นแหล่งสุดท้ายในการกอบกู้ "ภาษาเขียนดั้งเดิม" ซึ่งเป็นรากฐานขององค์ความรู้ทางภูมิปัญญา (Knowledge) และอัตลักษณ์ที่จับต้องไม่ได้ (ICH) กลับคืนสู่ชุมชน
โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเพื่อการอนุรักษ์
เพื่อรับมือกับวิกฤตดังกล่าว มหาวิทยาลัยจึงได้ริเริ่ม โครงการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณของกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตภาคกลางและภาคตะวันตก (ได้รับทุนสนับสนุนจากเงินรายได้สำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2564) โดยได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย 4 หน่วยงาน ได้แก่ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ คือ:
📜 การอนุรักษ์และจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัลเอกสารโบราณ
ประเภทของเอกสารโบราณ เอกสารโบราณที่ต้องได้รับการอนุรักษ์สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้:
🛠️ ขั้นตอนการอนุรักษ์คัมภีร์ใบลาน
การอนุรักษ์คัมภีร์ใบลานที่ถูกเก็บไว้นานและนำไปสู่การจัดทำสำเนาดิจิทัล (Digital Preservation) มีลำดับขั้นตอนที่สำคัญและต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:
1. การทำความสะอาด (Cleaning)
วัตถุประสงค์: กำจัดฝุ่นและคราบสกปรกออกจากพื้นผิวของใบลาน
วิธีการ:
ใช้แปรงขนนุ่ม ปัดไปในทิศทางเดียวกันเสมอ เพื่อป้องกันใบลานหัก
เมื่อปัดฝุ่นแล้ว อาจใช้น้ำเปล่าหรือแอลกอฮอล์เช็ดซ้ำ โดยต้องเช็ดไปใน ทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับการปัดฝุ่น
2. การทำทะเบียน (Cataloging)
วัตถุประสงค์: บันทึกรายละเอียดของคัมภีร์ใบลานแต่ละผูกลงในแบบบันทึกที่ออกแบบไว้
รายละเอียดที่บันทึก: ประกอบด้วย รหัสเอกสาร (สำหรับค้นหา), แหล่งที่พบ, สภาพเบื้องต้น, ชื่อเรื่อง, ศักราช, อักษรและภาษาที่ใช้บันทึก, จำนวนหน้า, ขนาด, ชื่อผู้บันทึก, และวันเดือนปีที่บันทึกข้อมูล
3. การทำสำเนาดิจิทัล (Digitalization)
วัตถุประสงค์: ถ่ายภาพคัมภีร์ใบลานด้วยกล้องถ่ายรูปดิจิทัลที่ตั้งค่าความละเอียดสูง
กระบวนการถ่ายภาพ:
4. การซ่อมแซมและจัดเก็บ (Repair and Storage)
การซ่อมแซม: หากพบว่าใบลานชำรุดเสียหายเล็กน้อย (เช่น มีรอยฉีก) จะทำการซ่อมแซมก่อนการจัดเก็บ
การจัดเก็บกลับคืน: คัมภีร์ใบลานจะถูก ร้อยสายสนอง กลับให้อยู่ในสภาพเดิม (หากสายสนองเก่ามากจะเปลี่ยนใหม่)
การป้องกัน: ห่อคัมภีร์ใบลานแต่ละผูกหรือแต่ละชุดด้วย ผ้าขาวดิบหรือผ้าที่ปลอดสารเคมี เพื่อป้องกันฝุ่นและแมลง
การค้นหา: ผูกป้ายที่ระบุรหัสและชื่อเอกสารที่ห่อแล้ว เพื่อความสะดวกในการค้นหาในภายหลัง

🗺️ มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นและการฟื้นฟูที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน
งานวิจัยของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย นำไปสู่การปฏิบัติการในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการทำงานร่วมกับชุมชน:
งานวิจัยสู่การปฏิบัติ: ใช้ความเชี่ยวชาญด้าน นวัตกรรมการศึกษา ในการพัฒนาวิธีการฟื้นฟูภาษาที่เหมาะสมกับบริบท เพื่อจัดทำ พจนานุกรม นิทานพื้นบ้าน และ เพลงพื้นบ้าน ในรูปแบบต่างๆ
การเสริมพลังชุมชน (Mahidol Engagement): มหาวิทยาลัยใช้ พันธกิจสัมพันธ์กับสังคม เป็นกลไกในการจัด ฝึกอบรม และให้คำปรึกษาแก่ครูและผู้นำชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการ สร้างตัวเขียน หลักสูตรท้องถิ่น และ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดจากภายในชุมชนเองอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างโครงการ
โครงการจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาแม่เป็นฐาน (Mother Tongue-Based Multilingual Education: MTB MLE)
นับเป็น กลยุทธ์สำคัญ ในการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์และผู้ที่ไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่
มหาวิทยาลัยร่วมกับยูนิเซฟสนับสนุน การจัดการศึกษาแบบทวิ-พหุภาษา (MTB MLE) เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้และทักษะการรู้ภาษาไทยของเด็กกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจน
🎯 ผลลัพธ์เชิงประจักษ์และการพัฒนาการเรียนรู้
⚠️ ภาวะความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข
🛣️ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่ออนาคต
ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเรียกร้องให้มีการขยายผลโครงการ MTB MLE เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา:
ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การขยายผลนวัตกรรมนี้จะ "สร้างสะพานเชื่อมโยงไปสู่อนาคตที่สดใสให้แก่เด็ก ๆ อีกเป็นจำนวนมากทั่วประเทศ" ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Education for All และ Inclusive Education
🌍 มรดกของชุมชนพลัดถิ่นและในภาวะวิกฤต: การดำเนินงานและการจัดการความเปราะบาง
การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเน้นการจัดการ สภาวะวิกฤต ที่คุกคามภาษาและวัฒนธรรม โดยยึดหลักการ พหุวัฒนธรรมและพหุภาษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และตอบสนองต่อภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทของเอเชีย:
🎓 ตัวอย่างโครงการวิจัยที่สนับสนุนการอนุรักษ์
มหาวิทยาลัยได้ใช้ นวัตกรรมการศึกษา และ องค์ความรู้เชิงทฤษฎี เพื่อสนับสนุนการอยู่รอดของมรดกทางวัฒนธรรมในบริบทที่เปราะบาง:
1. ภาคปฏิบัติ: การจัดการศึกษาและธำรงรักษาภาษา
🏝️ โครงการเกาะลันตา: ภาษาชนพื้นเมืองที่เสี่ยงต่อการถูกกลืน
โครงการนี้จัดการกับ ภาวะวิกฤตทางภาษา ของชนพื้นเมือง:
ผลผลิตรูปธรรม: "คู่มือระบบเขียนภาษาอูรักลาโวยจอักษรไทย ฉบับมหาวิทยาลัยมหิดล" ซึ่งเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการบันทึกภาษาและภูมิปัญญา เพื่อใช้ในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น
👧 โครงการระนอง-ตาก: สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กข้ามชาติ
โครงการนี้เกี่ยวข้องกับ มรดกของชุมชนพลัดถิ่น โดยตรง:
2. 🧠 การสร้างองค์ความรู้: สมรรถนะระหว่างวัฒนธรรม
💡 โครงการแรงงานต่างชาติ: "พหุวัฒนธรรมสมดุล"
โครงการนี้มุ่งเน้นการจัดการ มรดกของชุมชนที่ย้ายถิ่น (Heritage of Displaced Communities) ในระดับสังคม:
ผลผลิตรูปธรรม: "หนังสือภาษาเมียนมาพื้นฐาน 1" ซึ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ภาษาเมียนมาสำหรับชาวไทยที่ถูกออกแบบตามหลักภาษาศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมและลดความเหลื่อมล้ำทางภาษา
โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบันทึกภาษา แต่ยังทำงานอย่างบูรณาการเพื่อทำให้มรดกทางวัฒนธรรมที่เปราะบางสามารถ ดำรงอยู่รอด และ อยู่ร่วมกับสังคมใหม่ ได้อย่างยั่งยืน.
🎯 สรุปผลกระทบที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
การดำเนินโครงการบันทึกและอนุรักษ์ภาษาในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ นี้สร้างผลกระทบที่ชัดเจนต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาระดับโลก:
🎯 SDG 11.4: การปกป้องและคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของโลก
โครงการทั้งหมด ทั้งการทำแผนที่ GIS, การกอบกู้เอกสารโบราณ, และการฟื้นฟูในชุมชน ล้วนเป็นไปเพื่อ ปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จากการสูญหาย และเน้นการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง
🎯 SDG 4: การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การแปลงเอกสารโบราณและองค์ความรู้ทางภาษาให้เป็น ฐานข้อมูลดิจิทัล และ สื่อการเรียนรู้หลักสูตรท้องถิ่น ช่วยเปิดโอกาสให้คนทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชนในชุมชน สามารถ เข้าถึงและเรียนรู้ภาษาและประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษ ได้ตลอดชีวิต ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
สำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ
Endangered Languages Archive (ELAR), SOAS University of London
ทุนสนับสนุนจาก Newton Fund