ความสำคัญ และวัตถุประสงค์
PM2.5 เป็นมลพิษที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยควรมีข้อมูลแหล่งกำเนิดและปริมาณการปล่อยก๊าซแอมโมเนีย ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ PM2.5 ทุติยภูมิ (Secondary emission particulate matter) ซึ่งหากมีฐานข้อมูลการกระจายตัวเชิงพื้นที่และเวลาของการระบายมลพิษแอมโมเนียในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษหนาแน่น จะช่วยให้มีข้อมูลที่แม่นยำเพื่อกำหนดนโยบายควบคุมและแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ตรงจุดและยั่งยืนมากขึ้น
ข้อมูลการปล่อยแอมโมเนียเชิงพื้นที่และเวลาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถวางแผนมาตรการลดมลพิษที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ โดยพิจารณาแหล่งกำเนิดและความหนาแน่นของมลพิษได้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษในเวลาที่เกิดความเสี่ยงสูงได้
ดังนั้น การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบัญชีการระบายก๊าซแอมโมเนียในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ด้วยวิธีการลดการเกิด PM2.5 ทุติยภูมิจากการรวมตัวของสารตั้งต้นประเภทแอมโมเนีย
ผลการจัดทำบัญชีการระบายก๊าซแอมโมเนีย พบว่า กิจกรรมจากมนุษย์ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซแอมโมเนียรวมทั้งหมด 2.0 หมื่นตัน โดยปล่อยมาจากการใช้ปุ๋ยยูเรียในการเพาะปลูกพืช และการทำฟาร์มปศุสัตว์ มากที่สุด มีค่าเท่ากับ 11,716 ตัน (58%) และ 6,073 ตัน (30%) ตามลำดับ
ผลการประเมินการกระจายตัวเชิงเวลาของการระบายก๊าซแอมโมเนียรายเดือน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า การระบายก๊าซก๊าซแอมโมเนียมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางแบบฤดูกาลอย่างเห็นได้ชัด โดยจะมีการระบายก๊าซก๊าซแอมโมเนียในแต่ละเดือนอยู่ในช่วง 1,200 – 2,300 ตันต่อเดือน โดยมีค่าการระบายมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค. ถึง ก.พ. และ มิ.ย. ถึง ก.ค. ซึ่งเป็นช่วงเพาะปลูกข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และอ้อยโรงงาน จึงจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยยูเรียและปุ๋ยเคมีไนโตรเจนอื่น ๆ เพื่อการเพาะปลูกในปริมาณมาก รายละเอียดแสดงดังรูปที่ 1

รูปที่ 1 การกระจายตัวเชิงเวลาในการระบายก๊าซแอมโมเนียในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ผลการประเมินการกระจายตัวเชิงพื้นที่ของการระบายก๊าซแอมโมเนียในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า ในเดือนมกราคม การระบายก๊าซแอมโมเนียยังคงมีความหนาแน่นในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี และในพื้นที่ภาคกลางตอนบน เนื่องจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ โดยเฉพาะฟาร์มสุกร และฟาร์มสัตว์ปีก ประกอบกับการใช้ปุ๋ยยูเรียในการเพาะปลูกพืช ทำให้ความหนาแน่นของการระบายก๊าซแอมโมเนียมีความหนาแน่นสูง โดยกระจายอยู่รอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร รายละเอียดแสดงดังรูปที่ 2


รูปที่ 2 การกระจายตัวเชิงพื้นที่และเวลาในการระบายก๊าซแอมโมเนียในช่วงเดือนมกราคม
การดำเนินงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากผลการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ฐานข้อมูลบัญชีการระบายก๊าซแอมโมเนีย รวมถึงฐานข้อมูลการระจายตัวเชิงพื้นที่และเวลาในการระบายก๊าซแอมโมเนีย นักเคมีบรรยากาศได้นำไปใช้ประโยชน์เพื่อเป็นข้อมูลนำเข้าในโปรแกรมแบบจำลองคุณภาพอากาศ เพื่อจำลองการเกิดฝุ่น PM2.5 ทุติยภูมิ รวมถึงจำลองคุณภาพอากาศในกรณีที่มีการดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซแอมโมเนียรอบพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจากแหล่งกำเนิดหลักที่มีนัยสำคัญต่อปริมาณการปล่อยก๊าซแอมโมเนีย
การเผยแพร่ผลงานวิจัย
จิรพัชร ธีรนันท์ และ จิรทยา เริ่มมนตรี, “การประเมินการปลดปล่อยแอมโมเนียที่เป็นสารตั้งต้น PM 2.5 ทุติยภูมิจากการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจนและการจัดการปศุสัตว์ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย”, การประชุมหาดใหญ่วิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 15 มหาวิทยาลัยหาดใหญ่. 17 พฤษภาคม 2567. ห้องประชุม Blue Ocean Hall มหาวิทยาลัยหาดใหญ่, จังหวัดสงขลา. 1454-1468.
และในขณะนี้อยู่ในระหว่างการเผยแพร่ผลการศึกษาผ่านการตีพิมพ์บทความทางวิชาการ
ความแตกต่าง หรือมีเอกลักษณ์ที่ต่างจากโครงการอื่น
โครงการวิจัย “การจัดทำบัญชีการระบายมลพิษแอมโมเนียซึ่งเป็นสารตั้งต้นทุติยภูมิก่อให้เกิด PM 2.5 จากกิจกรรมของมนุษย์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากโครงการวิจัยอื่นๆ ในประเด็นสำคัญดังนี้
1. การเน้นศึกษาเฉพาะสารตั้งต้นแอมโมเนีย (NH₃) และการเกิด PM2.5 ทุติยภูมิ
- เน้นไปที่แอมโมเนียเป็นสารตั้งต้นสำคัญ โครงการนี้มุ่งเน้นศึกษาการปล่อยแอมโมเนียซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ PM2.5 ที่มักถูกมองข้าม โดยทั่วไป โครงการเกี่ยวกับ PM2.5 มักมุ่งเน้นการศึกษาไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นหลักที่เกิดจากการเผาไหม้ แต่โครงการนี้เลือกศึกษาแอมโมเนียซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากการเกษตรเฉพาะกลุ่ม ซึ่งนับเป็นความโดดเด่นที่แตกต่างจากการวิจัยอื่น
- การมุ่งเน้นไปที่การเกิด PM2.5 ทุติยภูมิ งานวิจัยทั่วไปเกี่ยวกับ PM2.5 มักมุ่งเน้นไปที่ฝุ่นที่เกิดขึ้นโดยตรง (Primary PM2.5) ในขณะที่โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่การเกิด PM2.5 ทุติยภูมิ (Secondary PM2.5) ซึ่งเป็นผลจากการรวมตัวของแอมโมเนียและสารอื่นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นการเปิดมุมมองใหม่ที่ยังไม่ถูกศึกษาอย่างละเอียดนักในประเทศไทย
2. การสร้างบัญชีการระบายมลพิษเชิงพื้นที่และเชิงเวลา (Spatial and Temporal Emission Inventory)
- ข้อมูลการระบายมลพิษเชิงพื้นที่และเวลาเฉพาะเจาะจงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โครงการนี้มุ่งเน้นสร้างฐานข้อมูลเชิงพื้นที่และเวลาอย่างละเอียดเกี่ยวกับการปล่อยแอมโมเนียในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรง แตกต่างจากการวิจัยทั่วไปที่มักจะศึกษาภาพรวมทั้งประเทศหรือในพื้นที่เฉพาะเจาะจงในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมในเขตชนบท
- การจัดทำบัญชีการระบายมลพิษ (Emission Inventory) การจัดทำบัญชีการระบายมลพิษเชิงพื้นที่และเชิงเวลาถือเป็นแนวคิดที่ทันสมัยและเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่สามารถใช้ประโยชน์ในระยะยาวได้ ทั้งในการวางแผนการจัดการมลพิษเฉพาะพื้นที่ การพัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ และการใช้สนับสนุนนโยบาย ซึ่งนับว่าเป็นการพัฒนาฐานข้อมูลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
3. การเชื่อมโยงข้อมูลกับนโยบายในการลด PM2.5 ทุติยภูมิ
- การสร้างแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังนำข้อมูลการระบายมลพิษไปสู่การกำหนดแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในการลด PM2.5 ที่เกิดจากแอมโมเนียในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล แตกต่างจากการวิจัยที่มักเน้นไปในเชิงทฤษฎีหรือการทดลองเพียงอย่างเดียว
4. การสนับสนุนการวิจัยต่อยอดและการพัฒนาข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์
- การพัฒนาฐานข้อมูลพื้นฐานสำหรับการวิจัยต่อยอด โครงการนี้ช่วยสร้างฐานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการปล่อยแอมโมเนียและ PM2.5 ทุติยภูมิ ซึ่งนักวิจัยคนอื่นสามารถนำไปใช้ในการศึกษาเพิ่มเติม เช่น การศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพ การพัฒนาแบบจำลองการปล่อยมลพิษ หรือการประเมินประสิทธิภาพของนโยบาย ซึ่งแตกต่างจากโครงการทั่วไปที่อาจไม่มีการจัดทำฐานข้อมูลแบบละเอียดที่สามารถนำไปใช้ต่อยอดได้อย่างครอบคลุม
การส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ งานวิจัยที่มุ่งเน้นสารตั้งต้นทุติยภูมิอย่างแอมโมเนียเปิดประเด็นการศึกษาใหม่และสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีการศึกษาอย่างละเอียดในประเทศไทย ทำให้นักวิจัยสามารถพัฒนาแนวคิดและเทคนิคในการวิเคราะห์และจัดการกับปัญหามลพิษ PM2.5 ที่เกิดจากสารตั้งต้นชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภ
ผลกระทบในระดับชุมชน ประเทศ ระดับโลก
1. ระดับชุมชน
- ผลกระทบเชิงบวก
- การสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน: การเผยแพร่ผลการวิจัยเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดและปริมาณการปล่อยแอมโมเนียในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงปัญหามลพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ความเสี่ยงจาก PM2.5 ที่เกิดจากแอมโมเนีย ซึ่งกระตุ้นให้ชุมชนและเกษตรกรเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดการใช้ปุ๋ยเคมี หรือสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีลดมลพิษ
- การมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหา การมีข้อมูลที่ชัดเจนช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เกี่ยวข้องกับแอมโมเนียได้อย่างตรงจุด เช่น การจัดอบรมและกิจกรรมให้ความรู้ การรณรงค์ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทำให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
2. ระดับประเทศ
- ผลกระทบเชิงบวก
- การส่งเสริมการพัฒนานโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ข้อมูลการระบายแอมโมเนียที่ได้จากการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้สนับสนุนการกำหนดนโยบายและมาตรการควบคุมมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น นโยบายการควบคุมการใช้ปุ๋ยเคมีในภาคเกษตร นโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีลดการปล่อยแอมโมเนียในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการลด PM2.5 ในระยะยาว
- การส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เมื่อประเทศมีนโยบายการจัดการมลพิษที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือกระบวนการผลิตที่ลดมลพิษจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
3. ระดับโลก
- ผลกระทบเชิงบวก:
- การมีส่วนร่วมในความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ผลการวิจัยที่ได้สามารถส่งเสริมให้ประเทศไทยมีบทบาทในการร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ในการลดมลพิษ PM2.5 โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยีในการควบคุมแอมโมเนีย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีและกิจกรรมอุตสาหกรรมในปริมาณสูง
ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาต่อเนื่อง ข้อมูลที่ได้จากโครงการนี้สามารถส่งเสริมการวิจัยระดับสากลในด้านการลดมลพิษและการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อการจัดการมลพิษและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาระดับโลกอย่างยั่งยืน